คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพฑูรย์ เนติโพธิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 409 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ว่าจ้างต่อลูกจ้าง การพิสูจน์การกระทำในทางการที่จ้างเป็นประเด็นสำคัญ หากไม่มีประเด็นนี้ฎีกาจึงนอกประเด็น
เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสามจะเป็นบิดามารดาผู้ปกครองเด็กทั้งสามที่บาดเจ็บหรือไม่ ไม่รับรอง และจำเลยที่ 2 มิได้ประมาท ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่ว่าโจทก์จะต้องนำสืบให้ชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น จึงเป็นฎีกานอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1265/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์หลังเปลี่ยนลักษณะการครอบครองจากตัวแทนทายาทเป็นเจ้าของ
เดิมที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนาง จ. นาง จ. มีบุตร3 คน คือนายวัน นายเวียนและนายวาย นางจ. นายวันและนายวาน ถึงแก่กรรมไปแล้วโดยนาง จ. ถึงแก่กรรมไปก่อน หลังจากนาง จ. ถึงแก่กรรมนายเวียนครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปี 2504 จึงยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง การที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุตรของนายวันและนายวานได้ไปขอนายเวียนทำนาในที่ดินพิพาทก่อนเกิดข้อพิพาทประมาณ 20 ปี แต่นายเวียนไม่ยินยอมอ้างว่า นาง จ. ยกให้แล้วถือได้ว่านายเวียนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนาง จ. ในฐานะครอบครองแทนทายาทอื่นมาเป็นการครอบครองเพื่อตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 เมื่อนายเวียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษละเมิดอำนาจศาล และสิทธิในการฎีกาคำพิพากษา
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นย่อมมีผลเท่ากับให้ยกคำร้อง ของ ทนายจำเลยที่ขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจำเลยและทนายจำเลยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิฎีกาคำพิพากษาต่อไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการลงโทษละเมิดอำนาจศาล และสิทธิในการฎีกาของผู้ไม่เสียหาย
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลย่อมเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาจึงเท่ากับให้ยกคำร้องของทนายจำเลยที่ขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จำเลยหรือทนายจำเลยย่อมมิใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารที่ไม่เป็นความจริงเป็นพยานหลักฐานในคดีอื่น และข้อจำกัดในการฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารนั้นไม่ปลอม
คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เช็คที่ไม่เป็นเอกสารปลอม ไม่ถือเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมิได้ปลอมเช็คตามฟ้องและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสาร จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา และเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาว่าเช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเช็คนั้นไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดีมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 222 บัญญัติว่า ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารที่ไม่ใช่เอกสารปลอม ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ การเลี้ยวตัดหน้ารถคันอื่น และการรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากประกันภัย
ทางเดินรถในถนนพหลโยธินทั้งทางด้านขาเข้าและขาออกจากกรุงเทพมหานครแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถ ระหว่างทางเดินรถขาเข้ากับขาออกจะเว้นช่องว่างไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นทางข้ามให้รถแล่นเลี้ยวไปสู่ทางเดินรถอีกด้านหนึ่งได้ รถยนต์บรรทุกแล่นในทางเดินรถด้านขาออก ถ้าหากจะเลี้ยวขวาเข้าไปในทางเดินรถด้านขาเข้า ตามปกติจะต้องแล่นในช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะไม่ต้องเลี้ยวตัดหน้ารถคันอื่นการที่รถยนต์บรรทุกแล่นในช่องเดินรถทางซ้ายของทางเดินรถขาออกและเลี้ยวขวาข้ามช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะเข้าไปในช่องว่างทางข้ามไปสู่ทางเดินรถขาเข้าโดยกระชั้นชิดและกะทันหันตัดหน้ารถยนต์เก๋งย่อมทำให้รถยนต์เก๋งไม่สามารถจะหยุดได้ทัน ถือได้ว่าคนขับรถยนต์บรรทุกกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เพราะถ้าหากรถยนต์บรรทุกจะใช้ความระมัดระวังไม่รีบเลี้ยวขวาโดยทันทีโดยขับรถตรงไปก่อน ขอทางชิดขวาแล้วไปเลี้ยวขวาในช่องว่างทางข้ามช่องต่อไปก็ย่อมจะทำได้โดยปลอดภัย ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าฝ่ายรถยนต์เก๋งประมาทเลินเล่ออย่างใด ดังนี้ถือว่าคนขับรถยนต์บรรทุกเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว โจทก์เป็นผู้รับประกันภัย ฐานะของโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดมีขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปจึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันชำระค่าสินไหมทดแทน แต่เมื่อทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าได้ชำระค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวทั้งหมดหรือครั้งสุดท้ายไปเมื่อใดแน่ ศาลเห็นสมควรกำหนดให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการเปลี่ยนเลนตัดหน้า – ผู้ขับขี่มีหน้าที่ใช้ความระมัดระวัง – การคิดดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทน
ทางเดินรถในถนนพหลโยธินทั้งทางด้านขาเข้าและขาออกจากกรุงเทพมหานครแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถ ระหว่างทางเดินรถขาเข้ากับขาออกจะเว้นช่องว่างไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นทางข้ามให้รถแล่นเลี้ยวไปสู่ทางเดินรถอีกด้านหนึ่งได้ รถยนต์บรรทุกแล่นในทางเดินรถด้านขาออก ถ้าหากจะเลี้ยวขวาเข้าไปในทางเดินรถด้านขาเข้า ตามปกติจะต้องแล่นในช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะไม่ต้องเลี้ยวตัดหน้ารถคันอื่น การที่รถยนต์บรรทุกแล่นในช่องเดินรถทางซ้ายของทางเดินรถขาออกและเลี้ยวขวาข้ามช่องเดินรถทางขวาเพื่อจะเข้าไปในช่องว่างทางข้ามไปสู่ทางเดินรถขาเข้าโดยกระชั้นชิดและกะทันหันตัดหน้ารถยนต์เก๋ง ย่อมทำให้รถยนต์เก๋งไม่สามารถจะหยุดได้ทัน ถือได้ว่าคนขับรถยนต์บรรทุกกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เพราะถ้าหากรถยนต์บรรทุกจะใช้ความระมัดระวังไม่รีบเลี้ยวขวาโดยทันทีโดยขับรถตรงไปก่อน ขอทางชิดขวาแล้วไปเลี้ยวขวาในช่องว่างทางข้ามช่องต่อไปก็ย่อมจะทำได้โดยปลอดภัย ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าฝ่ายรถยนต์เก๋งประมาทเลินเล่ออย่างใด ดังนี้ถือว่าคนขับรถยนต์บรรทุกเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัย ฐานะของโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามป.พ.พ. มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดมีขึ้นนับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหม-ทดแทนเป็นต้นไป จึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยให้นับแต่วันชำระค่าสินไหมทดแทน แต่เมื่อทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าได้ชำระค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวทั้งหมดหรือครั้งสุดท้ายไปเมื่อใดแน่ ศาลเห็นสมควรกำหนดให้แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าและการแบ่งสินสมรส: ศาลไม่ต้องพิจารณาเรื่องสินสมรสหากไม่มีเหตุหย่า
โจทก์ฟ้องขอหย่ากับขอให้จ่ายค่าเลี้ยงชีพและแบ่งที่ดินโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516, 1526และ 1533 หาใช่เป็นการร้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมกันในโฉนดที่ดินทั้ง 4 ฉบับซึ่งเป็นสินสมรสโดยอาศัยอำนาจดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1475 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีเหตุที่จะพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว จึงไม่จำต้องพิจารณาเรื่องค่าเลี้ยงชีพและทรัพย์สินตามฟ้องว่าเป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งกันหรือไม่ ทั้งไม่มีเหตุที่จะลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินทั้ง 4 ฉบับที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสด้วย
of 41