พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3355/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงินและการเรียงกระทงความผิดหลายกรรม
จำเลยร่วมปลอมลายมือชื่อของ ป. เป็นผู้รับอาวัลเช็คเพื่อให้เช็คทั้งสิบฉบับเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เช็คทั้งสิบฉบับเป็นเช็คที่สมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย เช็คดังกล่าวจึงเป็นตั๋วเงิน จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4) ไม่ใช่เป็นความผิดตามมาตรา 264 เท่านั้น แม้จำเลยปลอมลายมือชื่อของ ป. ที่ด้านหลังเช็คทั้งสิบฉบับในคราวเดียวกันแต่การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้อีก ทั้งจำเลยกระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายลดให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไปจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3355/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสาร (เช็ค) หลายกรรม การเรียงกระทงและข้อยกเว้นการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ 10 กระทง กระทงละ 2 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารเป็นผู้อาวัลลงในเช็ค แม้เช็คนั้นมีรายการครบถ้วนตามกฎหมายแล้วก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4)
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารที่ด้านหลังเช็คทั้งสอบฉบับในคราวเดียวกัน การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้ทั้งจำเลยกระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยก็สามารถหลอกขายเช็คให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไป จึงเป็นความผิดต่างกรรมกันจำนวน 10 กระทง
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารเป็นผู้อาวัลลงในเช็ค แม้เช็คนั้นมีรายการครบถ้วนตามกฎหมายแล้วก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารที่เป็นตั๋วเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4)
จำเลยปลอมลายมือชื่อของผู้จัดการธนาคารที่ด้านหลังเช็คทั้งสอบฉบับในคราวเดียวกัน การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวในแต่ละฉบับเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแยกออกจากกันได้ทั้งจำเลยกระทำโดยมีเจตนานำเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมนั้นไปหลอกขายให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งจำเลยก็สามารถหลอกขายเช็คให้แก่บุคคลอื่นเป็นรายฉบับไป จึงเป็นความผิดต่างกรรมกันจำนวน 10 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อการอนุมัติสินเชื่อผิดระเบียบ และการประเมินค่าเสียหายจากหลักประกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นลูกจ้างและกรรมการบริษัทโจทก์โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยเคยเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การและตามทางนำสืบของจำเลยจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ดังนั้น เมื่อจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงาน
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติ และจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า 9 ราย รวมเป็นเงิน16,300,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 9 แปลง ตีราคาตามราคาประเมินได้ราคาไม่คุ้มหนี้ ลูกค้าทั้ง 9 ราย จึงไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าทั้ง 9 รายเพียง 31,041.09 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในต้นเงินและดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างชำระคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รวมตลอดถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยชัดแจ้งแล้วหาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายยังไม่เกิดและไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายไม่
จำเลยอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินโดยผิดระเบียบ โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตีราคาตามราคาประเมิน แต่ที่ดินอาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมินที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับราคาประเมิน แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้จากตัวลูกหนี้และหลักประกัน จึงไม่อาจทราบความเสียหายที่แท้จริงได้ ดังนั้นถ้ามีการบังคับจำนองที่ดินที่เป็นหลักประกันได้ราคาที่ดินมามากกว่าราคาประเมินตามฟ้องโจทก์ ราคาที่ดินส่วนที่มากกว่านี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลย ต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นค่าเสียหายที่เป็นหนี้เงินตามจำนวนที่จำเลยให้ลูกค้ากู้ยืมโดยฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก คืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มิใช่ดอกเบี้ยในอัตราที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าของโจทก์ตามสัญญากู้ในทางการค้าของโจทก์.
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติ และจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า 9 ราย รวมเป็นเงิน16,300,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 9 แปลง ตีราคาตามราคาประเมินได้ราคาไม่คุ้มหนี้ ลูกค้าทั้ง 9 ราย จึงไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าทั้ง 9 รายเพียง 31,041.09 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในต้นเงินและดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างชำระคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รวมตลอดถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยชัดแจ้งแล้วหาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายยังไม่เกิดและไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายไม่
จำเลยอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินโดยผิดระเบียบ โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตีราคาตามราคาประเมิน แต่ที่ดินอาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมินที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับราคาประเมิน แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้จากตัวลูกหนี้และหลักประกัน จึงไม่อาจทราบความเสียหายที่แท้จริงได้ ดังนั้นถ้ามีการบังคับจำนองที่ดินที่เป็นหลักประกันได้ราคาที่ดินมามากกว่าราคาประเมินตามฟ้องโจทก์ ราคาที่ดินส่วนที่มากกว่านี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลย ต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นค่าเสียหายที่เป็นหนี้เงินตามจำนวนที่จำเลยให้ลูกค้ากู้ยืมโดยฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก คืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มิใช่ดอกเบี้ยในอัตราที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าของโจทก์ตามสัญญากู้ในทางการค้าของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อนายจ้างจากความเสียหายอันเกิดจากการอนุมัติสินเชื่อผิดระเบียบ และการประเมินค่าเสียหายจากหลักประกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นลูกจ้างและกรรมการบริษัทโจทก์โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยเคยเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การและตามทางนำสืบของจำเลยจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ ดังนั้น เมื่อจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานคดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงาน โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติ และจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า 9 ราย รวมเป็นเงิน16,300,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 9 แปลง ตีราคาตามราคาประเมินได้ราคาไม่คุ้มหนี้ ลูกค้าทั้ง 9 ราย จึงไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าทั้ง 9 รายเพียง 31,041.09 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในต้นเงินและดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างชำระคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รวมตลอดถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยชัดแจ้งแล้วหาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายยังไม่เกิดและไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายไม่ จำเลยอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินโดยผิดระเบียบ โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตีราคาตามราคาประเมิน แต่ที่ดินอาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมินที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับราคาประเมิน แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้จากตัวลูกหนี้และหลักประกัน จึงไม่อาจทราบความเสียหายที่แท้จริงได้ ดังนั้นถ้ามีการบังคับจำนองที่ดินที่เป็นหลักประกันได้ราคาที่ดินมามากกว่าราคาประเมินตามฟ้องโจทก์ ราคาที่ดินส่วนที่มากกว่านี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลย ต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นค่าเสียหายที่เป็นหนี้เงินตามจำนวนที่จำเลยให้ลูกค้ากู้ยืมโดยฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก คืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มิใช่ดอกเบี้ยในอัตราที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าของโจทก์ตามสัญญากู้ในทางการค้าของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ และการประเมินค่าเสียหายจากหลักประกัน
เมื่อฟัง ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลาง และมีอายุความ 10 ปี จำเลยเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่อนุมัติสินเชื่อของบริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้ลูกค้าของโจทก์กู้เงินไปจากโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติจำนวน 16,300,000 บาท โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตามราคาประเมินเพียง 4,618,500 บาท โจทก์ติดตามขอรับชำระหนี้จากลูกค้าของโจทก์ได้เพียง 31,041.09 บาทเท่านั้นเช่นนี้ จำเลยต้องรับผิดใช้คืน เงินต้น ที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้จำนวน 16,268,958.91 บาท ให้แก่โจทก์ ส่วนที่ดิน 9 แปลงที่ลูกค้าจำนองไว้เป็นประกันนั้นโจทก์สามารถบังคับมาชำระหนี้ได้ส่วนหนึ่งจึงต้องนำมาหักออกจากจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยแต่เนื่องจากที่ดินทั้ง 9 แปลงนี้อาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมิน 4,618,500 บาท จึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหาย จะนำมาหักออกจากความรับผิดของจำเลยเพียงเท่าราคาประเมินไม่ได้ ถ้า มีการบังคับจำนองที่ดินทั้ง 9 แปลงนั้นได้มากกว่าราคาประเมิน จะต้องนำราคาส่วนที่เกินนี้มาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย ดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าในอัตราร้อยละ 18ต่อปีนั้น เป็นอัตราที่กำหนดไว้ตามสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้จากจำเลย คงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแรงงานไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้มีการฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือขอให้รับกลับเข้าทำงานตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ก็ไม่ทำให้คดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายแรงงานและตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไปได้ ศาลจึงมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแรงงานไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงได้เอง
คดีแรงงานโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือให้รับกลับเข้าทำงาน ตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนิน คดีอาญาในความผิดฐาน ทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ ก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานกลาง มีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ โดยไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแรงงานไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงได้เอง
คดีแรงงานโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือให้รับกลับเข้าทำงาน ตามกฎหมายแรงงาน กับเรียกร้องเงินทุนเลี้ยงชีพตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญาไม่ แม้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานทุจริตยักยอกทรัพย์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่จำเลยอ้างเป็นเหตุในการเลิกจ้างโจทก์ ก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานกลางมีอำนาจรับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทุจริตยักยอกเงินของจำเลยอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอย่างร้ายแรงและทุจริตต่อหน้าที่ โดยไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3313/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(7) กรณีไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา
ฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา มีแต่ลายมือชื่อของทนายจำเลยลงไว้ในฐานะเป็นผู้เรียงและผู้พิมพ์เท่านั้น ทั้งรูปคดีไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งฎีกากลับคืนไปให้จำเลยลงลายมือชื่อ ฎีกาจำเลยจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(7) ประกอบด้วย มาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3313/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา แม้มีลายมือชื่อทนายในฐานะผู้เรียงและพิมพ์
ฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้ฎีกา มีแต่ลายมือชื่อของทนายจำเลยลงไว้ในฐานะเป็นผู้เรียงและผู้พิมพ์เท่านั้น ทั้งรูปคดีไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งฎีกากลับคืนไปให้จำเลยลงลายมือชื่อ ฎีกาจำเลยจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(7) ประกอบด้วย มาตรา 215 และ 225.