พบผลลัพธ์ทั้งหมด 713 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ ป.วิ.พ. โดยอนุโลมในศาลภาษีอากร: ต้องไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ภาษีอากรครอบคลุม และเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถอ้างได้
การที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมในศาลภาษีอากรนั้นพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร มาตรา 17 บัญญัติให้ทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่จะนำมาใช้บังคับเท่านั้น การย่นหรือขยายระยะเวลานั้นได้มีบทบัญญัติ มาตรา 19 บัญญัติไว้เป็นพิเศษแล้ว จึงจะนำบทบัญญัติ มาตรา 23 แห่ง ป.วิ.พ.มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้
ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ไปประกอบธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด แล้วเกิดเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบเรื่องที่ทนายโจทก์แจ้งไปยังญาติโจทก์ว่าต้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางศาลเพิ่มเติมตามกำหนดที่ศาลสั่งนั้น มิใช่เหตุสุดวิสัย เพราะทนายโจทก์หรือญาติของโจทก์อาจขวนขวายติดต่อให้โจทก์ทราบเพื่อนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางเพิ่มเติมตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่งได้
ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ไปประกอบธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด แล้วเกิดเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบเรื่องที่ทนายโจทก์แจ้งไปยังญาติโจทก์ว่าต้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางศาลเพิ่มเติมตามกำหนดที่ศาลสั่งนั้น มิใช่เหตุสุดวิสัย เพราะทนายโจทก์หรือญาติของโจทก์อาจขวนขวายติดต่อให้โจทก์ทราบเพื่อนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางเพิ่มเติมตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำ ป.วิ.พ. มาใช้โดยอนุโลมในศาลภาษีอากร ต้องพิจารณาบทบัญญัติ พ.ร.บ.ภาษีอากรเป็นหลัก
การที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมในศาลภาษีอากรนั้น พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรมาตรา 17 บัญญัติให้ทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวที่จะนำมาใช้บังคับเท่านั้น การย่นหรือขยายระยะเวลานั้นได้มีบทบัญญัติ มาตรา 19 บัญญัติไว้เป็นพิเศษแล้ว จึงจะนำบทบัญญัติ มาตรา 23 แห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้ ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ไปประกอบธุรกิจอยู่ต่างจังหวัดแล้วเกิดเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบเรื่องที่ทนายโจทก์แจ้งไปยังญาติโจทก์ว่าต้องนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางศาลเพิ่มเติมตามกำหนดที่ศาลสั่งนั้น มิใช่เหตุสุดวิสัย เพราะทนายโจทก์หรือญาติของโจทก์อาจขวนขวายติดต่อให้โจทก์ทราบเพื่อนำเงินค่าธรรมเนียมศาลไปวางเพิ่มเติมตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่งได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนด
จำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 เสมียนทนายจำเลยลงชื่อในตรายางซึ่งประทับในฎีกามีความว่า "ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว"เมื่อศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยและกำหนดเวลาให้จำเลยส่งสำเนาฎีกาให้อีกฝ่ายหนึ่งภายใน 7 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง ในวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยยื่นฎีกา 1 วัน ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยยอมรับว่าจะมาฟังคำสั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้มาฟังคำสั่ง ก็ถือว่าคำสั่งศาลนั้นได้ส่งให้จำเลยโดยชอบ และจำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2533 ระยะเวลาสิ้นสุดที่จำเลยจะต้องนำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นคือวันที่ 7 ธันวาคม 2533 แต่ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534ว่าจำเลยมิได้จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดนั้น จึงเป็นการทิ้งฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าทดแทนที่ดินเวนคืนต้องอ้างอิงราคาปานกลางในวันเวนคืนและสภาพที่ดิน การใช้ราคาซื้อขายภายหลังวันเวนคืนเป็นหลักไม่ได้
การกำหนดค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 มาตรา 14กำหนดตามความเป็นธรรมในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาเวนคืนต้องถือตามประกาศราคาปานกลางของที่ดินเพื่อเก็บภาษีบำรุงท้องที่กับสภาพและทำเลของทรัพย์สินมาประกอบกัน การที่อนุญาโตตุลาการนำราคาซื้อขายที่ดินใกล้เคียงแต่อยู่คนละหน่วยและเป็นการซื้อขายเพียงรายเดียว หลังวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาเวนคืน กับนำราคาตามหนังสือของโจทก์เป็นหลักในการพิจารณาเป็นการขัดต่อกฎหมายศาลไม่บังคับตามคำชี้ขาดนั้น จำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บังคับให้จำเลยชำระเงินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ต้องเสียค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละหนึ่งของทุนทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินเพื่อขายต่อธนาคาร: ไม่ถือเป็นตัวแทน แต่เป็นการค้าหากำไร
โจทก์ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสของธนาคาร ก. ทราบว่าธนาคารจะเปิดสำนักงานสาขารังสิตและสาขาจังหวัดอ่างทอง โจทก์จึงซื้อที่ดินในท้องที่ดังกล่าวไว้เป็นของตนเอง แล้วขายต่อให้ธนาคาร ก. โดยมุ่งค้าหากำไร ที่โจทก์อ้างว่า ธนาคาร ก.มอบหมายด้วยวาจาให้โจทก์หาซื้อที่ดินแทนนั้นไม่น่าเชื่อเพราะธนาคาร ก. เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทมหาชนการกระทำใด ๆ ย่อมต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อที่จะตรวจสอบได้ดังนั้น การประเมินของจำเลยที่ 4 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าจึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกเก็บเงินเพิ่มค่าอากรขาเข้าและดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการที่ผิดนัดชำระภาษีอากร
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยผู้นำสินค้าเข้าชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของอากรขาเข้าจำนวน 1,050,684.10 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ในคำฟ้องของโจทก์และตามทางนำสืบของโจทก์มิได้สืบให้เห็นว่าเงินค่าอากรขาเข้าที่ค้างชำระโดยไม่รวมเงินเพิ่มจำนวนเท่าใด เมื่อไม่ทราบจำนวนเงินอากรขาเข้าที่จะใช้เป็นฐานในการกำหนดเงินเพิ่มได้เช่นนี้แล้ว ก็ย่อมไม่อาจให้จำเลยชำระเงินเพิ่มจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จตามที่โจทก์ขอได้ ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ทวิ บัญญัติถึงความรับผิดของผู้เสียภาษีที่ผิดนัดไม่ชำระค่าภาษีอากรไว้โดยเฉพาะแล้ว หากผู้ประกอบการค้าไม่ชำระภาษีภายในกำหนดต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ เมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิดไว้โดยเฉพาะเช่นนี้แล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดใน ป.พ.พ. อันเป็นบทบัญญัติทั่วไปมาใช้บังคับอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ มีผลเป็นสัญญา โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามได้
ข้อตกลงที่ศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาภายหลังโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาคดีไปตามยอมแล้วนั้น เป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่าจะปฏิบัติต่อกันย่อมเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าโจทก์จำเลยตกลงกันเวลาใดและที่ใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐานคดีทำร้ายร่างกาย ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษไม่เกินกำหนดดังกล่าว ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำคำเบิกความของแพทย์ที่ว่าหลังเกิดเหตุ 15 วัน ได้ตรวจบาดแผลอีกครั้ง แผลเป็นปกติดีมาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) เป็นการไม่ชอบ เพราะตามรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ ท้ายฟ้องระบุว่าบาดแผลดังกล่าวต้องใช้เวลารักษานาน 6สัปดาห์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าพยานบุคคลในกรณีนี้มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานเอกสารจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตามฎีกา: ศาลต้องสั่งคำแถลงจำเลยเมื่อส่งสำเนาฎีกาไม่ได้ ไม่ใช่รอจำเลยแถลงเอง
เมื่อส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยผู้ฎีกาได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ส่งสำเนาฎีกาให้ทนายโจทก์ไม่ได้ เพราะทนายโจทก์ออกไปธุระ และขอให้ส่งใหม่อีกครั้งโดยวิธีปิดหมาย ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้รอผลการส่งหมายก่อน ต่อมาอีก 4 เดือนเศษ พนักงานเดินหมายเพิ่งรายงานผลการส่งหมายให้ศาลชั้นต้นทราบดังที่จำเลยแถลง ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งคำแถลงของจำเลยว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป แต่ศาลชั้นต้นกลับสั่งให้รอจำเลยแถลง โดยมิได้แจ้งคำสั่งให้ทราบด้วย จำเลยย่อมไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว และไม่อาจดำเนินการอะไรได้ การที่ระยะเวลาล่วงเลยไปเช่นนี้เป็นเพราะความบกพร่องของพนักงานเดินหมายที่รายงานผลการส่งหมายล่าช้าเกินสมควรจะถือว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดและถือว่าจำเลยทิ้งฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสลักหลังตั๋วแลกเงินปลอมทำให้การได้มาซึ่งตั๋วแลกเงินขาดสาย ผู้รับรองตั๋วไม่ต้องรับผิด
มีผู้ปลอมการสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งจ่ายให้แก่บริษัท อ.ถือว่าการสลักหลังเป็นอันใช้ไม่ได้เลย เสมือนหนึ่งว่าบริษัท อ. ไม่เคยสลักหลังตั๋วแลกเงิน ตั๋วแลกเงินยังคงเป็นตั๋วแลกเงินที่สั่งจ่ายระบุชื่อแก่บริษัท อ. อยู่ โจทก์ได้รับตั๋วแลกเงินมาโดยอาศัยการสลักหลังของจำเลยที่ 1 ซึ่งสลักหลังต่อจากการ สลักหลังปลอม จึงเป็นการได้มาโดยการสลักหลังที่ขาดสาย ถือไม่ได้ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงิน จำเลยที่ 6 ซึ่งรับรองตั๋วแลกเงิน ก่อนมีการสลักหลังปลอมจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน.