คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุญศรี กอบบุญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 864 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: คำเสนอขายผูกพัน-การผิดนัด-บังคับคดี
จำเลยทั้งสี่ทำหนังสือเสนอขายที่ดินให้โจทก์ โดยระบุในสัญญาว่าภายใน 180 วัน นับแต่วันทำสัญญา จำเลยทั้งสี่ขอยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงราคาที่เสนอขาย และไม่เสนอขายหรือโอนขายให้แก่บุคคลอื่นโดยเด็ดขาด หนังสือดังกล่าวเป็นคำเสนอจะทำสัญญาอันบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองซึ่งไม่อาจถอนได้ภายในระยะเวลาที่บ่งไว้ เมื่อโจทก์มีหนังสือนัดโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนดตามคำเสนอขายจึงเป็นคำสนองซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย สัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว การที่จำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดนัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งดบังคับคดีรื้อถอนตึกแถวชั่วคราวได้ หากมีข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดิน และอาจเกิดความเสียหายหากบังคับคดี
ตึกแถวพิพาทจำนวน 11 คูหาเป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวจำนวน 20คูหาที่โจทก์ดำเนินการบังคับคดีให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ซึ่งซื้อฝากมาจากภริยาจำเลย ต่อมาภริยาจำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนการขายฝากที่ดินดังกล่าว การที่จำเลยขอให้ระงับการขับไล่ผู้อยู่อาศัยและรื้อถอนตึกแถวพิพาทไว้ก่อนจนกว่าคดีที่ภริยาจำเลยฟ้องโจทก์ถึงที่สุดเสียก่อน เช่นนี้ ถือได้ว่ากรณีมีเหตุสมควรที่ศาลจะให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5505/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องทางภารจำยอม ศาลชอบที่จะสั่งให้แก้ไขการกระทำที่ขัดขวางการใช้ทาง
โจทก์และจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ที่ดินของทั้งสองฝ่ายบางส่วนเป็นทางภารจำยอมโดยยอมให้ตัดฟันต้นไม้ที่ขึ้นกีดขวางทางหรือปรับทางภารจำยอมนี้ได้เพื่อความสะดวกในการใช้ทาง การที่โจทก์ถมดินใหม่สูงกว่าพื้นดินเดิมประมาณ 1 คืบตัดต้นมะม่วงแล้วยังเหลือตอสูงกว่าพื้นดินประมาณ 1 คืบมุงหลังคาสังกะสีระเบียงใหม่และทำหลังคาห้องน้ำใหม่แต่ไม่มีรางน้ำฝนและโจทก์ทำท่อระบายน้ำจากห้องน้ำไหลลงมาทางเดินเหล่านี้เป็นการกระทำที่ขัดขวางและทำให้ไม่สะดวกแก่การใช้ทางภารจำยอมจึงไม่เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5468/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์จากความสำคัญผิด ไม่ถือเป็นการสละสิทธิเด็ดขาดในการบังคับคดี
ตัวแทนโจทก์ในการบังคับคดียื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยและด้วยความสำคัญผิด ตัวแทนโจทก์ได้ระบุในคำแถลงด้วยว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว ทั้งที่ความจริงจำเลยยังชำระไม่ครบ การยื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์จึงไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิเด็ดขาดในการบังคับคดีจำเลย โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนข้อความที่ระบุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้วได้เพื่อให้เป็นไปตามความจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5381/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.220 หลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น และการพิจารณาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยองค์คณะ
คดีอาญาศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งที่งดสืบพยาน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ (ฉบับที่พิมพ์ข้อความแล้ว)มีผู้พิพากษาลงนามเพียงคนเดียวก็ตาม แต่เมื่อผู้พิพากษาอีก 2 คนซึ่งเป็นองค์คณะได้ลงนามในต้นร่างคำพิพากษาแสดงว่าได้มีการร่วมประชุมปรึกษาเป็นองค์คณะแล้ว อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ได้ลงนามรับรองไว้ท้ายคำพิพากษาดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5374/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมาทเลินเล่อในการขับรถบรรทุกพ่วงในพื้นที่คับขันและลาดชัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
บริเวณปากทางลงอุโมงค์ลอดใต้ทางรถไฟเป็นทางแคบและลาดชันทั้งถนนก็ขรุขระและที่ปากทางอุโมงค์มีกำแพงคอนกรีตกลางถนนยื่นออกมายาวประมาณ 3 เมตร การที่จำเลยขับรถยนต์บรรทุกลากรถบรรทุกพ่วงมีความยาวรวมกันประมาณ 14 เมตร แซงรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมทางด้านขวาขณะแล่นเข้าอุโมงค์ลงไปในที่ลาดชัน โดยที่ตัวรถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงมีความกว้างเกือบเต็มช่วงเดินรถ และรถบรรทุกพ่วงก็บรรทุกปูนซีเมนต์เต็มคันรถเป็นเหตุให้รถบรรทุกพ่วงเสียการทรงตัวไปกระแทกเอารถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมซึ่งขับอยู่ด้านข้าง เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5020/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากจำนวนทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
ในคดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา ฎีกาในปัญหาว่า พยานหลักฐานโจทก์เป็นพิรุธ ท.ไม่ได้ยกที่ดินพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้และมอบการครอบครองให้โจทก์ ค่าเสียหายของโจทก์มีไม่มากเท่าคำฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 6 เข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทตั้งแต่ฤดูทำนาปี2530 แต่เพิ่งมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีแล้วนั้น ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4957/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเหมาค่าก่อสร้าง: ความล่าช้าการจ่ายเงิน, ความเสียหายพิเศษ, และการคาดเห็นเหตุการณ์
จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาตามมาตรฐานงานก่อสร้างฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างระบุว่า"ก่อนทำการก่อสร้างอาคาร ผู้รับจ้างจะต้องดำเนินการทดสอบหาความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกของพื้นดินด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดตามหลักวิชา จำนวนจุดและตำแหน่งที่จะทำการทดสอบให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของวิศวกรของผู้ว่าจ้าง" จากข้อความที่ว่าจำนวนจุดและตำแหน่งที่จะทำการทดสอบให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของวิศวกรผู้ว่าจ้าง แสดงว่าจำเลยต้องส่งช่างไปกำหนดจุดเจาะและตำแหน่งให้โจทก์ก่อน โจทก์ยังไม่สามารถลงมือทำงานได้ทันทีภายหลังจากได้ทำสัญญา การที่จำเลยส่งช่างไปล่าช้าจึงเป็นการผิดเงื่อนไขของสัญญา ข้อฎีกาในเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยอ้างว่าหนี้ระงับไปแล้วแต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ และมิได้รวมอยู่ในประเด็นที่ว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่ แม้จำเลยจะนำสืบไว้ในศาลชั้นต้นและกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ตามสัญญาจ้างก่อสร้างกำหนดให้โจทก์ผู้รับจ้างต้องให้ธนาคารทำหนังสือค้ำประกันจำนวนร้อยละ 5 ของราคาค่าจ้างเหมานำมามอบให้จำเลยและให้โจทก์ต้องนำหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกัน ของธนาคารในประเทศมามอบให้จำเลยเพื่อเป็นประกันการเบิกเงินล่วงหน้าจำนวนร้อยละ 15 ของค่าจ้างเมื่อวงเงินตามสัญญาจ้างทั้งสองฉบับมีจำนวนถึง 33,900,000 บาท และ 35,350,000 บาท ตามลำดับโจทก์จึงต้องขอเครดิตจากธนาคาร โดยโจทก์ต้องนำเงินร้อยละ50 ที่โจทก์ได้รับล่วงหน้าจากจำเลยมาฝากประจำไว้เป็นประกันและโจทก์ต้องมอบอำนาจให้ธนาคารรับเงินค่าจ้างตามสัญญาจากจำเลยแทนโจทก์การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ล่าช้าทำให้โจทก์ต้องขายลดตั๋วแลกเงินแก่ธนาคารเป็นจำนวนร้อยละ 80 ของจำนวนที่โจทก์ได้รับค่าจ้างแต่ละงวดเพื่อนำมาใช้จ่ายในการก่อสร้างซึ่งโจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยแก่ธนาคารอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีโจทก์จึงได้รับความเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวตามดอกเบี้ยและระยะเวลาที่ล่าช้า ซึ่งโจทก์เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้โดยแจ้งให้ทราบแล้วว่าโจทก์มีเงินหมุนเวียนไม่เพียงพอ จำเป็นต้องกู้เงินธนาคารและเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์ที่โจทก์ต้องขอสินเชื่อและหลักประกันทางการเงินจากธนาคารและต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารล่วงหน้าก่อนแล้ว การที่จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ล่าช้าทำให้โจทก์เสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่จำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้นต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินจากการมอบให้ การสละเจตนาครอบครอง และการครอบครองปรปักษ์
เจ้ามรดกยกที่ดิน ส.ค.1 ให้แก่ จ. บุตรสาว โดยโจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นทายาทไม่ได้ติดตามทวงถามให้ จ. แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนแต่กลับปล่อยให้ จ. ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลากว่า 30 ปีถือได้ว่า จ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวเพียงผู้เดียวเมื่อ จ. ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองตกลงจ่ายเงินให้แสดงว่า จ. ได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองตั้งแต่วันทำสัญญาแล้ว การครอบครองของ จ.ย่อมสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงมีสิทธิครอบครองทันทีที่ จ.สละสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินจากการทำเหมืองแร่: การครอบครองไม่สมบูรณ์แม้ทำประโยชน์ต่อเนื่อง
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เดิมเป็นที่ดินของ ข.และ บ. เป็นผู้ได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาท โจทก์เป็นผู้ซื้อประทานบัตรเหมืองแร่จาก บ. แม้โจทก์จะเป็นผู้ทำเหมืองแร่และครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ตามสัญญาซื้อขายประทานบัตรก็ระบุให้โจทก์ได้สิทธิผิวดินตามประทานบัตรเหมืองแร่ คือสิทธิที่จะทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น บ. ไม่ได้โอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่ประการใด ดังนั้นสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ บ. เจ้าของเดิมหรือทายาทผู้สืบสิทธิทางมรดกสืบต่อกันมา ส่วนการที่จำเลยไปสอบเขตที่ดินพิพาท และโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาก็ตาม แต่คัดค้านของโจทก์ก็อ้างสิทธิที่โจทก์พึงมีอยู่ตามประทานบัตรเหมืองแร่เท่านั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างสิทธิอื่นใดนอกเหนือไปจากสิทธิตามประทานบัตรเหมืองแร่ดังนั้น จะถือว่าคำคัดค้านของโจทก์เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยแจ้งไปยัง บ. หรือทายาทผู้ครอบครองว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 หาได้ไม่
of 87