พบผลลัพธ์ทั้งหมด 864 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2260/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นหลังสัญญาสิ้นสุด: สิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราสัญญาเดิม และขอบเขตการคิดดอกเบี้ยหลังสัญญาหมดอายุ
นับแต่วันสิ้นสุดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ธนาคารโจทก์ไม่ได้ยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินเข้าเพื่อหักทอนหนี้ของยอดเงินที่ค้างชำระแสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุในสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันสิ้นสุดของสัญญา หลังจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไป ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีได้ อันเป็นไปตามสิทธิที่โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามพระราชบัญญัติให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 หลังจากสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีได้ เพราะถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2260/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นหลังสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุด: ศาลตัดสินอัตราดอกเบี้ยที่ถูกต้อง
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีกำหนดเวลาชำระหนี้คืนไว้แน่นอนเมื่อไม่ปรากฏว่าธนาคารโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีอีกต่อไปนับแต่วันสิ้นสุดของสัญญา ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนหนี้ พฤติการณ์แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้หลังจากนั้นธนาคารโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไป ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกำหนดให้ธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีได้ อันเป็นไปตามสิทธิที่โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามพ.ร.บ.ให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 แม้สัญญาสิ้นสุดลงแล้วธนาคารโจทก์ก็ยังคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นในอัตราดังกล่าวไว้ต่อไปเพราะถือได้ว่าจำเลยตกลงให้คิดได้มาแต่ต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2255/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความทางแพ่งในมูลหนี้ละเมิดที่เชื่อมโยงกับความผิดทางอาญา: ใช้หลักอายุความทางอาญา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันในมูลหนี้ละเมิดที่ ช. ลูกหนี้ก่อขึ้น เมื่อมูลหนี้ละเมิดนั้นเป็นความผิดที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย จึงต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้นำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ มิใช่ถืออายุความ1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยุบสภาและผลกระทบต่อคดีเลือกตั้ง: ศาลฎีกาจำหน่ายคดีเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ ยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นการ เลือกตั้งทั่วไป ดังนั้น ที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้มีการ เลือกตั้งใหม่ จึงเป็นกรณีที่ศาลฎีกาไม่สามารถจะสั่งให้ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ศาลฎีกาจำหน่ายคดีจากสารบบความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีซื้อขายที่ดินที่มีการฟ้องแย้งเรื่องการชำระราคาและข้อฉ้อฉล เมื่อคดีเดิมยังอยู่ระหว่างพิจารณา
เดิมจำเลยฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์ผิดสัญญาซื้อขายที่ดินขอให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้แก่จำเลย โจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังค้างชำระราคาที่ดินโจทก์ การที่โจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อเกิดจากการฉ้อฉลและสำคัญผิดเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนจำเลยจากผู้ถือกรรมสิทธิ์และริบเงินมัดจำ คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินโจทก์ชำระเงินวันทำสัญญาบางส่วน โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อแล้ว จะชำระราคาส่วนที่เหลือให้ โดยระบุราคาซื้อขายที่ดินในสัญญา จำเลยไม่ชำระราคาที่ดินที่ค้างให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ ดังนี้ฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีเดิมจึงเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ และโจทก์ในคดี นี้ซึ่งเป็นจำเลยผู้ฟ้องแย้งในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ฟ้องแย้ง ในคดีเดิมด้วย เมื่อคดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีเดิม ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมยังพิจารณาอยู่ ห้ามฟ้องเรื่องเดียวกันซ้ำ
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินบางส่วนให้จำเลย จำเลยชำระเงิน 145,000 บาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ยอมให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อต่อมาโจทก์ผิดสัญญาจึงขอให้บังคับโจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้จำเลย โจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยยังค้างชำระราคาที่ดินโจทก์เป็นเงิน 615,000 บาท การที่โจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อเกิดจากการฉ้อฉลและสำคัญผิดจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง และขอให้ศาลเพิกถอนจำเลยออกจากผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อกับริบเงินมัดจำ 145,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้จำเลยตามฟ้องกับยกฟ้องแย้งโจทก์คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์ 72 ตารางวาตารางวาละ 11,000 บาท เป็นเงิน 792,000 บาท จำเลยชำระเงิน145,000 บาท คงค้าง 640,000 บาท จำเลยขอให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดไว้ก่อน ต่อมาโจทก์ทวงถามให้ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนั้น ฟ้องแย้งในคดีเดิมของโจทก์จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้และโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งด้วย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปตามรูปคดี มิได้เรียกร้องอะไรจากจำเลย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา 200 บาท ตามตาราง 1(2) ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าบำเหน็จนายหน้า: ตกลงโดยปริยาย & ศาลกำหนดจำนวนได้เมื่อตกลงกันไม่ชัดเจน
จำเลยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลย โดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์จัดการขายที่ดินได้ราคาเกิน 2,000,000 บาท แล้ว ส่วนที่เกินนั้นจำเลยยินยอมให้โจทก์เป็นค่าบำเหน็จทั้งสิ้น จำเลยขายที่ดินได้ในราคา 2,000,000 บาท การที่โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินของจำเลยสำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 846 วรรคแรกส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้2,000,000 บาท เป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้นเป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ.ในราคา 2,000,000 บาทก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จแต่เมื่อไม่ได้ความว่า ค่าบำเหน็จนั้นตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าบำเหน็จนายหน้า: ตกลงโดยปริยาย แม้มีข้อตกลงพิเศษ ศาลกำหนดจำนวนตามสมควรได้
โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินให้จำเลยสำเร็จ เป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ ถือได้ว่าตกลงกันโดย ปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้ 2,000,000 บาทเป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้นเป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ. ในราคา 2,000,000 บาทก็ตามโจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ และเมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใดและไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาจำเลยคดีล้มละลาย: การจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ไม่ทำให้สิ้นภูมิลำเนา
เดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดลำพูนแล้วย้ายต่อไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 15/8 หมู่ที่ 1ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาอำเภอเมืองเชียงใหม่จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิมแล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลาง การที่จำเลยย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่า จำเลยมีถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย ส่วนที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลางก็เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ มิใช่จำเลยได้ย้ายที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนภูมิลำเนาไปจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร สำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 ข้อ 52 และ 53ที่ให้ถือว่าทะเบียนคนบ้านกลางไม่ใช่ทะเบียนบ้าน และบุคคลซึ่งมีรายการปรากฏอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ไม่อาจจะขอคัดหรือรับรองสำเนารายการเพื่อนำไปอ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำทะเบียนราษฎรตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น จะถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการยื่นฟ้องคดีล้มละลายหาได้ไม่ จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะยื่นฟ้องจึงต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ที่จะต้องไปยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่โจทก์ยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดแพร่ ซึ่งไม่ใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจแม้จะเป็นศาลมูลคดีเกิดก็ตาม ศาลจังหวัดแพร่ก็ไม่อาจรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้และกรณีมิใช่เป็นเรื่องจำเลยเป็นบุคคลที่ไม่มีภูมิลำเนาอันจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4มาใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเขตอำนาจศาลในคดีล้มละลาย: ภูมิลำเนาของลูกหนี้เป็นหลักเกณฑ์สำคัญ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 กำหนดให้ยื่นคำฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตส่วนลูกหนี้จะมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใด ต้องถือตามถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 44 ส่วนการเปลี่ยนภูมิลำเนาจะทำได้ด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาปรากฏว่าจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตาม มาตรา 48เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานครจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดลำพูนแล้วย้ายต่อไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่าจำเลยมีถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย ส่วนที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลางก็เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ย้ายที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนาแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนภูมิลำเนาไปจากจังหวัดเชียงใหม่แล้วแม้ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 ข้อ 52 และ 53จะถือว่าทะเบียนคนบ้านกลางไม่ใช่ทะเบียนบ้าน และบุคคลซึ่งมีรายการปรากฏอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ไม่อาจจะขอคัดหรือรับรองสำเนารายการเพื่อนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้ก็ตามก็เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำทะเบียนราษฎรตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น จะถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการยื่นฟ้องคดีอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่หาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะยื่นฟ้อง จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 150 ที่จะต้องไปยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดแพร่ ซึ่งมิใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจ แม้จะเป็นศาลที่มูลคดีเกิดก็ตาม ศาลจังหวัดแพร่ก็ไม่อาจรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ กรณีดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเรื่องจำเลยเป็นบุคคลที่ไม่มีภูมิลำเนาอันจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด