พบผลลัพธ์ทั้งหมด 864 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาถือเป็นการส่งคำบังคับโดยชอบ และมีผลบังคับตามกฎหมาย
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 6 คำว่า "พิพากษา" หมายความตลอดถึงการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยทำเป็นคำสั่ง และมาตรา 19 ว่า"คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่า เป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตราสมุดบัญชีและเอกสารของลูกหนี้และบรรดาทรัพย์สิน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย... ฯลฯ" ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกให้จำเลยไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทราบด้วยและได้ปิดหมายเรียกดังกล่าวที่ภูมิลำเนาของจำเลยถือว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยโดยชอบ จำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208ต้องยื่นคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับนั้นให้แก่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และกำหนดเวลาการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ในคดีล้มละลาย
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกไปยังจำเลยทั้งสองเพื่อให้ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน โดยปิดหมายดังกล่าวที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ที่ 2เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2531 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับในหมายเรียกระบุชัดว่า จำเลยทั้งสองถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองในวันดังกล่าวโดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531 เกินกำหนด 15 วันล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และการยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เกินกำหนด
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทั้งสองแล้ว โดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2531 และ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับ กรณีถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ก็จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2531 และ 5 สิงหาคม 2531 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันที่การส่งหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้แก่จำเลยทั้งสองมีผล แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 31ตุลาคม 2531 จึงเกินกำหนด 15 วัน ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว และตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสองก็ไม่มีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ประการใด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิ: การอยู่โดยละเมิดและการฟ้องขับไล่
โจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาทจำเลยที่3เข้าอยู่ในตึก พิพาทโดยเช่าจาก ส.ซึ่งมีเพียงสิทธิจัดหาคนมาทำสัญญาเช่าตึก พิพาทกับ ม. เจ้าของเดิมเท่านั้น จึงเป็นการเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิให้เช่า การอยู่ในตึก พิพาทของจำเลยที่ 3 จึงปราศจากเหตุอันจะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 3 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิ & การฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ไม่มีสิทธิในที่ดิน
จำเลยเข้าอยู่ในตึกพิพาทโดยเช่าจากส.แต่ไม่ปรากฏว่าส.มีสิทธินำตึกพิพาทไปให้เช่า คงมีสิทธิแต่เพียงจัดหาคนมาทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจาก ม. เจ้าของเดิมเท่านั้น การเช่าของจำเลยจึงเป็นการเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิให้เช่า ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ซื้อตึกพิพาทมาจาก ม. เจ้าของเดิม และจำเลยมิได้เช่าจากเจ้าของเดิมอันจะมีผลผูกพันถึงโจทก์ การอยู่ในตึกพิพาทของจำเลยจึงปราศจากเหตุจะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการอยู่โดยละเมิด โจทก์ฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1110/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณทุนทรัพย์ค่าขึ้นศาล ต้องใช้ราคาที่แท้จริงของทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมิน ไม่ใช่ราคาซื้อขายที่ตกลงกัน
การคำนวณทุนทรัพย์เพื่อเสียค่าขึ้นศาล ต้องคำนวณตามราคาที่แท้จริงของทรัพย์ และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดว่าราคาที่แท้จริงคือราคาเท่าใดไม่ใช่คำนวณตามราคาที่คู่ความตกลงกันหรือตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดว่ามีราคา 777,625 บาท โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ซึ่งกำหนดตามราคาปานกลางที่มีการซื้อขายกันตามท้องตลาด โจทก์และจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านราคาที่แท้จริงของทรัพย์ที่ยึดจึงน่าจะเป็นราคา777,625 บาท ที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่า ซื้อที่พิพาทมาจาก ป. ในราคา 400,000 บาท จะจริงหรือไม่ยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง ศาลจึงชอบที่จะสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์เสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบรายละเอียดการรับเงินกู้ไม่เป็นการนอกฟ้อง และอายุความดอกเบี้ยเริ่มนับจากเวลาที่อาจฟ้องเรียกได้
ในคำฟ้องและสัญญากู้ระบุว่าจำเลยที่ 1 รับเงินจำนวน1,500,000 บาท ไปจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญากู้ และประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยที่ 1 รับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ดังนี้ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 รับเงินไปจากโจทก์ก่อนวันทำสัญญากู้บ้าง ในวันทำสัญญากู้บ้าง และหลังวันทำสัญญากู้บ้างนั้น เป็นการนำสืบถึงที่มาหรือรายละเอียดในการที่จำเลยที่ 1รับเงินไปจากโจทก์ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น และไม่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร การฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างส่งภายใน 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 166นั้น อายุความ 5 ปี ต้องนับตั้งแต่เวลาที่อาจฟ้องเรียกเอาดอกเบี้ยได้ ไม่ใช่นับตั้งแต่วันที่ผู้กู้รับเงินกู้ไปจากผู้ให้กู้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: การพิสูจน์เจตนาของผู้รับของกลาง จำเลยปฏิเสธการรับสารภาพในชั้นจับกุม จึงใช้ยันไม่ได้
เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับแจ้งข้อหาจำเลยว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร คำให้การรับสารภาพของจำเลยตลอดข้อหา ในบันทึกการจับกุมโดยไม่ระบุว่ารับสารภาพฐานใดนั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธในชั้นศาลว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม จึงใช้ยันจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับเงินเพื่อออกใบอนุญาตเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้ออกตรวจสถานประกอบการค้ามีอำนาจหน้าที่เสนอต่อผู้บังคับบัญชาให้ออกหรือไม่ให้ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบกิจการค้าถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการพิจารณาออกใบอนุญาต จำเลยเรียกร้องเงินเป็นการตอบแทนการออกใบอนุญาต จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับเงินเพื่อออกใบอนุญาตเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
จำเลยมีหน้าที่ออกตรวจพื้นที่มีอำนาจที่จะเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชา ให้ออกหรือไม่ให้ออกใบอนุญาตก็ได้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการพิจารณาว่าจะออกใบอนุญาตให้แก่บุคคลใดในการประกอบกิจการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครการที่จำเลยเรียกร้องเงินจากผู้เสียหายเป็นการตอบแทนในการดำเนินการออกใบอนุญาตดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157