พบผลลัพธ์ทั้งหมด 864 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไฟฟ้านครหลวงฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่คำนวณผิดพลาด และประเด็นอายุความของหนี้
การไฟฟ้านครหลวงโจทก์มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนเป็นสาธารณูปโภคและได้รับทุนในการดำเนินการจากงบประมาณแผ่นดิน จึงมิใช่พ่อค้าตามมาตรา 165(1)แห่ง ป.พ.พ. การฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่พนักงานของโจทก์จดหน่วยไฟฟ้าจากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าโดยไม่ได้คูณด้วย 10 ตามลักษณะของเครื่องวัดไฟฟ้าที่โจทก์ติดตั้งทำให้จำเลยชำระค่าไฟฟ้าให้โจทก์ขาดไปนั้น เมื่อมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น ต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 โจทก์คำนวณหน่วยกระแสไฟฟ้าที่จำเลยใช้ผิดไปเพราะไม่ได้นำตัวเลขในเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้ามาคูณด้วย 10 ตามลักษณะของเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าที่โจทก์ติดตั้งให้จำเลย จำเลยได้รับประโยชน์ในการใช้กระแสไฟฟ้าที่โจทก์คำนวณผิด ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลยโดยไม่อิดเอื้อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 327จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์คำนวณขาดไปและจะถือว่าโจทก์ฟ้องจำเลยโดยใช้สิทธิไม่สุจริตหาได้ไม่ คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์คิดขาดไประหว่างเดือนธันวาคม 2505 จนถึงเดือนมกราคม 2525 สำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์คิดขาดไปในระหว่างวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2525 ถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2525 ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลากัน ฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีจึงไม่ใช่ฟ้องเรื่องเดียวกันและโดยอาศัยเหตุเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมายบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายแม้จำเลยชำระหนี้บางส่วน โจทก์ไม่รับรองการชำระหนี้
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีระบุจำนวนเงินและอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตรงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำขอของโจทก์ การออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามมาตรา 296 การที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว แม้เป็นความจริงก็ยังมีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์อยู่อีก ทั้งโจทก์ก็มิได้ยอมรับว่าได้รับชำระหนี้ไว้แล้ว จำเลยจึงต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะยกเอามาเป็นเหตุให้ศาลยกเลิกหมายบังคับคดีหรืองดการบังคับคดีหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: การชำระหนี้บางส่วนไม่กระทบต่อการบังคับคดีทั้งหมด และเป็นเรื่องระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้
ในชั้น บังคับคดีนั้น แม้จะได้ความว่าจำเลยได้ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ไปบางส่วนแล้ว ก็ยังคงมีหนี้ที่จำเลยจะต้อง ชำระแก่โจทก์อยู่อีก ทั้งโจทก์ก็ยังไม่ได้รับรองว่าได้ รับ ชำระ หนี้ไว้แล้วดัง ที่จำเลยอ้าง จึงเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้อง ไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะยกเอาการชำระหนี้ดังกล่าวมาเป็นเหตุให้ศาลยกเลิกหมายบังคับคดี หรืองดการบังคับคดีหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: ศาลชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยอ้างชำระหนี้บางส่วน
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีระบุจำนวนเงินและอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตรงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำขอของโจทก์ การออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามมาตรา 296 การที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว โจทก์ก็มิได้รับรองว่าได้รับชำระหนี้ไว้และแม้เป็นความจริงก็ยังมีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก้โจทก์อยู่อีกจำเลยจึงต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจะยกเอามาเป็นเหตุให้ศาลยกเลิกหมายบังคับคดีหรืองดการบังคับคดีหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: การชำระหนี้บางส่วนไม่กระทบการบังคับคดีทั้งหมด
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีระบุจำนวนเงินและอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตรงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำขอของโจทก์ การออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามมาตรา 296 การที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว โจทก์ก็มิได้รับรองว่าได้รับชำระหนี้ไว้และแม้เป็นความจริงก็ยังมีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก้โจทก์อยู่อีกจำเลยจึงต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจะยกเอามาเป็นเหตุให้ศาลยกเลิกหมายบังคับคดีหรืองดการบังคับคดีหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาของศาล ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีได้
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดโดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป มิได้ติดต่อกับศาลเป็นเวลา 2 เดือนเศษ โดยมีข้ออ้างเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดี ประกอบกับความพลั้งเผลอ ย่อมเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 246 ซึ่งศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกำหนดเวลาศาล แม้จะมีเหตุผลด้านสุขภาพและภาระงาน
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนด ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยมิได้ติดต่อกับศาลเป็นเวลา 2 เดือนเศษ คงมีข้ออ้างเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดี ประกอบกับความพลั้งเผลอ ย่อมเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 ซึ่งศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และเหตุผลที่ศาลใช้ดุลพินิจในการจำหน่ายคดี
การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่ารับอุทธรณ์สำเนาให้จำเลยโดยให้โจทก์นำส่งภายใน 10 วัน นั้นเป็นกรณีที่ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ดำเนินการ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2)ถ้าโจทก์เพิกเฉยให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง และมาตรา 246 ให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ในชั้นอุทธรณ์ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์จากความล่าช้าในการส่งสำเนาอุทธรณ์และการใช้ดุลพินิจของศาล
การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดโดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป มิได้ติดต่อกับศาลเป็นเวลา 2 เดือนเศษ โดยมีข้ออ้างเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดี ประกอบกับความพลั้งเผลอ ย่อมเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ซึ่งศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและสาเหตุแห่งการกระทำ
จำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ที จำเลยฟันแล้วก็ถอยหลังไปโดยไม่ได้ฟันผู้เสียหายซ้ำหรือไล่ติดตามฟันผู้เสียหายต่อไปอีก ผู้เสียหายมีบาดแผลที่กลางศีรษะเป็นแนวโค้งจากหน้าไปหลังยาวประมาณ 5 นิ้ว ลึกเพียงถึงผิวนอกของกระดูกกะโหลกศีรษะถูกบาด ขาดตามแนวแผลชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ทะลุกระดูกกะโหลกศีรษะ หากรักษาไม่ทันไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งสาเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น หาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายไม่.