คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุประดิษฐ์ หุตะสิงห์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 441 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6560/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการรับรองฎีกาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
คดีที่ราคาทรัพย์สินอันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่ตามคำร้องขอให้ผู้พิพากษาอนุญาตให้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้ระบุให้ผู้พิพากษาคนใดในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค1เป็นผู้พิจารณารับรองจึงเป็นการไม่ชอบตามมาตรา248วรรคสี่ทั้งอ. ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงชื่อรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงมิได้เป็นผู้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นด้วยคำสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6560/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในข้อเท็จจริงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการรับรองจากผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดี และมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนทุนทรัพย์
คดีที่ราคาทรัพย์สินอันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ตามคำร้องขอให้ผู้พิพากษาอนุญาตให้ฎีกาของจำเลยดังกล่าว มิได้ระบุให้ผู้พิพากษาคนใดในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นผู้พิจารณารับรอง จึงเป็นการไม่ชอบตาม มาตรา 248วรรคสี่ ทั้ง อ.ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงชื่อรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงมิได้เป็นผู้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นด้วย คำสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6425/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์จากความเสียหายสินค้าอันเกิดจากระบบป้องกันอัคคีภัยบกพร่องและการจัดเก็บสารเคมีไม่ถูกต้อง
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเคมีภัณฑ์ของแข็งไวไฟประเภทถ่านผงสีดำซึ่งผู้เอาประกันสั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา สินค้าดังกล่าวขนส่งมาถึงประเทศไทยการท่าเรือแห่งประเทศไทยจำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้รับฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จค่าฝากได้รับฝากสินค้าดังกล่าวไว้โดยนำไปเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอันตรายของจำเลยที่3บริเวณท่าเรือกรุงเทพต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้คลังสินค้าอันตรายของจำเลยที่3ทำให้สินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายโจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วจึงรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องคดีนี้ได้ สถานที่ที่จำเลยที่3นำสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทของแข็งไวไฟไปเก็บรักษาไว้ได้แก่คลังสินค้าอันตรายนั้นมีการจัดเก็บสารเคมีอื่นที่อาจทำปฏิกริยากับสินค้าดังกล่าวรวมอยู่ด้วยและสถานที่ที่จัดเก็บมีระบบการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพดีเพียงพอดังนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากการกระทำปฏิกริยาทางเคมีของสารเคมีที่เก็บไว้รวมกันแล้วลุกลามไหม้สินค้าพิพาทเสียหายจึงถือได้ว่าจำเลยที่3มิได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินที่รับฝากเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา659วรรคสองบัญญัติไว้จำเลยที่3จึงต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6425/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์จากความเสียหายของสินค้าอันตรายเนื่องจากความประมาทเลินเล่อ
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเคมีภัณฑ์ของแข็งไวไฟประเภทถ่านผงสีดำ ซึ่งผู้เอาประกันสั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา สินค้าดังกล่าวขนส่งมาถึงประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จค่าฝากได้รับฝากสินค้าดังกล่าวไว้โดยนำไปเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอันตรายของจำเลยที่ 3 บริเวณท่าเรือกรุงเทพต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้คลังสินค้าอันตรายของจำเลยที่ 3 ทำให้สินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องคดีนี้ได้
สถานที่ที่จำเลยที่ 3 นำสินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทของแข็งไวไฟไปเก็บรักษาไว้ได้แก่คลังสินค้าอันตรายนั้นมีการจัดเก็บสารเคมีอื่นที่อาจทำปฏิกริยากับสินค้าดังกล่าวรวมอยู่ด้วย และสถานที่ที่จัดเก็บมีระบบการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพดีเพียงพอ ดังนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากการกระทำปฏิกริยาทางเคมีของสารเคมีที่เก็บไว้รวมกัน แล้วลุกลามไหม้สินค้าพิพาทเสียหายจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 มิได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินที่รับฝากเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ ดังนั้นตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 659 วรรคสอง บัญญัติไว้ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6359/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงานต่อเนื่อง
ผู้ตายได้ขับรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของกรมส่งเสริม-การเกษตรจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้าง นำยุวเกษตรกรไปเข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จงานแล้วผู้ตายขับรถนำยุวเกษตรกรเดินทางกลับ จากนั้นได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารต่อที่จังหวัดนครปฐมเป็นการส่วนตัวกับเพื่อน หลังจากรับประทานเสร็จผู้ตายได้ขับรถไปส่งเพื่อนผู้ตายที่บ้าน แล้วผู้ตายขับรถมุ่งหน้าไปอำเภอสามพรานโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถชนกับรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้ แม้ผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 นำยุวเกษตรกรเดินทางกลับเสร็จแล้วและหลังจากนั้นผู้ตายขับรถออกไปรับประทานอาหาร จนเกิดเหตุอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุกตอนขากลับแต่ผู้ตายยังต้องนำรถของทางราชการจำเลยที่ 4 ไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4ตามหน้าที่ ดังนั้นการขับรถของผู้ตายดังกล่าวยังเป็นเวลาและการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของผู้ตาย ซึ่งถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6359/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดนายจ้างต่อผลละเมิดของลูกจ้าง: การปฏิบัติงานต่อเนื่องแม้หลังเลิกงาน
แม้ผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 เดินทางกลับ จากไปราชการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเสร็จแล้วหลังจากนั้นผู้ตายได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารและส่งเพื่อนจนเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกตอนขากลับ ซึ่งผู้ตายยังต้องนำรถไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4 ถือว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติตามหน้าที่การงาน จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม: การที่ฟ้องแย้งไม่มีข้ออ้างหลักแห่งข้อหาทำให้ศาลชอบที่จะวินิจฉัยได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์ โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2529 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่า แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่า สิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้อง จำเลยไม่อาจทราบได้ จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกัน จำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้ง ดังนั้น เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไร เช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ หาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า บิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เมื่อบิดาจำเลยตายสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย จำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้น เป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลย เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม ศาลวินิจฉัยประเด็นสัญญาเช่าและฟ้องแย้งได้ แม้จำเลยอ้างสิทธิจากสัญญาต่างตอบแทน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่1มกราคม2527ถึงวันที่31ธันวาคม2529เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่าแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไรตั้งแต่เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่าสิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้องจำเลยไม่อาจทราบได้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกันจำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งดังนั้นเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไรเช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยหาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าบิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเมื่อบิดาจำเลยตามสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยจำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้นเป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6130/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งคดีแพ่งและการแยกข้อพิพาทออกจากคดีเดิม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามมูลหนี้ที่โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าเครื่องจักรแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ปลอมเอกสารดวงตราของโจทก์นำไปจดทะเบียนว่าเครื่องจักรดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2 แล้วนำไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 4 ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และการจำนองเครื่องจักร แล้วให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คืนเครื่องจักรแก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นให้ใช้ราคาพร้อมทั้งชำระค่าเสียหาย การที่จำเลยที่ 2ฟ้องแย้งอ้างว่า โจทก์ทำละเมิดกลั่นแกล้งนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 3 กรรมการของจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องเสียหาย โดยนำเงินไปประกันตัวจำเลยที่ 3 และขาดผลประโยชน์จากทางทำมาหาได้ เสื่อมเสียชื่อเสียงขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย เป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยที่ 2จะต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6130/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตั๋วสัญญาใช้เงินตามูลหนี้ที่โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและชำระเงินค่าเครื่องจักรแทนจำเลยที่1จำเลยที่1ได้ร่วมกับจำเลยที่2และที่3ปลอมเอกสารดวงตราของโจทก์นำไปจดทะเบียนว่าเครื่องจักรดังกล่าวเป็นของจำเลยที่2แล้วนำไปจำนองไว้แก่จำเลยที่4ขอให้บังคับจำเลยที่2ถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และการจำนองเครื่องจักรแล้วให้จำเลยที่1ถึงที่3คืนเครื่องจักรแก่โจทก์หรือมิฉะนั้นให้ใช้ราคาพร้อมทั้งชำระค่าเสียหายการที่จำเลยที่2ฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์ทำละเมิดกลั่นแกล้งนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่3กรรมการของจำเลยที่2ทำให้จำเลยที่2ต้องเสียหายโดยนำเงินไปประกันตัวจำเลยที่3และขาดผลประโยชน์จากทางทำมาหาได้ เสื่อมเสียชื่อเสียงขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่2จะต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
of 45