พบผลลัพธ์ทั้งหมด 441 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาซื้อขายทราย จำเลยต้องคืนเงินมัดจำและค่าเสียหายที่สมควร
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์ไม่สามารถดูดทรายจากในที่ดินของจำเลยได้จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำค่าทรายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันรับเงินมัดจำจากโจทก์รวมทั้งค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาด้วย โจทก์นำสืบในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายว่าโจทก์ได้ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบรรทุกเรือขุดค่าคนงานค่าเช่าเรือดูดทรายค่าเช่ารถขุดและค่าน้ำมันรวมเป็นเงินทั้งสิ้น839,360บาทแม้จำเลยจะมิได้นำสืบหักล้างเป็นประการอื่นก็ตามแต่นอกจากโจทก์มิได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงยืนยันให้เห็นได้แล้วยังนำสืบขัดกับหลักฐานหนังสือทวงถามที่เรียกจากจำเลยเป็นเงินเพียง461,600บาทอีกทั้งยังได้ความว่าแม้โจทก์จะดูดทรายจากในที่ดินจำเลยไม่ได้แต่โจทก์ก็สามารถนำเครื่องอุปกรณ์การดูดทรายไปดูดทรายจากที่ดินข้างเคียงจำเลยได้อยู่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ถึงกับเสียหายไปทั้งหมดเสียทีเดียวค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาจึงสูงเกินไปสมควรกำหนดให้เพียง300,000บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาซื้อขายทราย: การกำหนดค่าเสียหายที่สมเหตุสมผล
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์ไม่สามารถดูดทรายจากในที่ดินของจำเลยได้ จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำค่าทรายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันรับเงินมัดจำจากโจทก์รวมทั้งค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาด้วย
โจทก์นำสืบในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายว่า โจทก์ได้ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบรรทุกเรือขุด ค่าคนงาน ค่าเช่าเรือดูดทราย ค่าเช่ารถขุด และค่าน้ำมันรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 539,360 บาท แม้จำเลยจะมิได้นำสืบหักล้างเป็นประการอื่นก็ตาม แต่นอกจากโจทก์มิได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงยืนยันให้เห็นได้แล้วยังนำสืบขัดกับหลักฐานหนังสือทวงถามที่เรียกจากจำเลยเป็นเงินเพียง 461,600 บาทอีกทั้งยังได้ความว่า แม้โจทก์จะดูดทรายจากในที่ดินจำเลยไม่ได้ แต่โจทก์ก็สามารถนำเครื่องอุปกรณ์การดูดทรายไปดูดทรายจากที่ดินข้างเคียงจำเลยได้อยู่ ทำให้เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ถึงกับเสียหายไปทั้งหมดเสียทีเดียว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาจึงสูงเกินไป สมควรกำหนดให้เพียง 300,000 บาท
โจทก์นำสืบในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายว่า โจทก์ได้ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบรรทุกเรือขุด ค่าคนงาน ค่าเช่าเรือดูดทราย ค่าเช่ารถขุด และค่าน้ำมันรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 539,360 บาท แม้จำเลยจะมิได้นำสืบหักล้างเป็นประการอื่นก็ตาม แต่นอกจากโจทก์มิได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงยืนยันให้เห็นได้แล้วยังนำสืบขัดกับหลักฐานหนังสือทวงถามที่เรียกจากจำเลยเป็นเงินเพียง 461,600 บาทอีกทั้งยังได้ความว่า แม้โจทก์จะดูดทรายจากในที่ดินจำเลยไม่ได้ แต่โจทก์ก็สามารถนำเครื่องอุปกรณ์การดูดทรายไปดูดทรายจากที่ดินข้างเคียงจำเลยได้อยู่ ทำให้เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ถึงกับเสียหายไปทั้งหมดเสียทีเดียว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาจึงสูงเกินไป สมควรกำหนดให้เพียง 300,000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาอุทธรณ์และฟ้องคดีเวนคืน: หากพ้นกำหนด 1 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530มาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี ดังนี้เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 วันที่ 20 กรกฎาคม 2535จำเลยที่ 1 จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นใน 60 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 มิถุนายน 2537 จึงฟ้องหลังจากพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาที่รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเวนคืน: ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดวินิจฉัยอุทธรณ์ ทำให้ไม่มีสิทธิฟ้อง
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายใน1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี ดังนี้เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 วันที่ 20 กรกฎาคม 2535 จำเลยที่ 1จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นใน 60 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 มิถุนายน 2537 จึงฟ้องหลังจากพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาที่รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 734/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ระบุในสัญญา สัญญาจึงไม่มีผลบังคับใช้
สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวแต่สัญญาฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องสาระสำคัญไม่มีลักษณะที่จำเลยทั้งสองนำทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นให้โจทก์แม้จะระบุว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อสัญญาดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนในการบรรยายฟ้องประมาทเลินเล่อเพียงพอให้จำเลยเข้าใจได้ ฟ้องชอบตามมาตรา 172
โจทก์บรรยายฟ้องว่าลูกจ้างโจทก์ได้ขับรถบรรทุกของโจทก์ออกจากห้องชั่งน้ำหนักมาจอดรอที่ไหล่ทางเพื่อออกสู่ถนนสายเลี่ยงเมือง ได้มีรถบรรทุกขับโดยจำเลยที่1ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังว่ามีรถบรรทุกของโจทก์จอดรอเพื่อออกสู่ถนนสายเลี่ยงเมืองอยู่เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนบริเวณด้านหน้าของรถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงเหตุที่อ้างว่าจำเลยที่1ประมาทเลินเล่อไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จะให้จำเลยที่2และที่3เข้าใจได้แล้วสำหรับรายละเอียดต่างๆในขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไรโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 ของฟ้อง กรณีบรรยายเหตุประมาทชัดแจ้งเพียงพอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ลูกจ้างโจทก์ได้ขับรถบรรทุกของโจทก์ออกจากห้องชั่งน้ำหนักมาจอดรอที่ไหล่ทางเพื่อออกสู่ถนนสายเลี่ยงเมือง ได้มีรถบรรทุกขับโดยจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังว่ามีรถบรรทุกของโจทก์จอดรอเพื่อออกสู่ถนนสายเลี่ยงเมืองอยู่ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนบริเวณด้านหน้าของรถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงเหตุที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จะให้จำเลยที่ 2และที่ 3 เข้าใจได้แล้ว สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ในขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไรโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันขนส่งยาเสพติด: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยที่ 1 ถึงการกระทำผิด
พยานโจทก์คือจ่าสิบตำรวจ ม. และสิบตำรวจโท อ. ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์โดยสารประจำทางอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้โดยสารจำนวนมากเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรมส่วนนางสาว ว.ซึ่งเป็นพยานคนกลางก็ได้ทำหน้าที่พนักงานบริการประจำรถยนต์โดยสารประจำทางมาหลายเดือนย่อมสามารถจำพฤติกรรมของผู้โดยสารและตำแหน่งที่วางกระเป๋าใส่เสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆของผู้โดยสารได้ดีพอสมควรประกอบกับขณะที่จำเลยที่1นำกระเป๋าทั้งสองใบซึ่งมีเฮโรอีนบรรจุอยู่ไปเก็บไว้บนชั้นวางของก็ยังไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่บนรถทั้งจำเลยที่1เป็นผู้เลือกวางกระเป๋าในลักษณะที่ผิดปกติเองด้วยเป็นเหตุให้นางสาว ว. เกิดความสงสัยย่อมจดจำการกระทำของจำเลยที่1ได้แม่นยำเป็นพิเศษกว่าผู้โดยสารรายอื่นเมื่อคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามนี้สอดคล้องเชื่อมโยงกันไม่มีข้อพิรุธหรือข้อระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่1จึงมีน้ำหนักในการรับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าทดแทนที่ดินเวนคืนตามประกาศ คสช. 44 และอำนาจศาลในการพิจารณาความเป็นธรรม
แม้คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นซึ่งรัฐมนตรีว่าการ-กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งขึ้นจะได้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์โดยถือเอาบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรุงเทพมหานครพ.ศ.2531 ถึง 2534 ของกรมที่ดินซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ฯ พ.ศ.2531 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม2531 เนื่องจากมีราคาสูงกว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรคสี่ และมาตรา 21 (2) (3) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530ซึ่งคณะกรรมการกำหนดราคาต้องถือปฏิบัติตามในขณะนั้นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 ข้อ 1ยกเลิกความในมาตรา 9 วรรคสี่ โดยให้การกำหนดเงินค่าทดแทนต้องคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับ พ.ร.ฎ.ที่ออกตามมาตรา 6 สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น เหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืน ดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 21 (1) (4)และ (5) และในข้อ 5 แห่งประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติดังกล่าวก็ได้บัญญัติให้มีผลใช้บังคับแก่การฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย ดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง-มหาดไทยไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ หรือมีคำสั่งให้คณะกรรมการกำหนดราคาพิจารณาเงินค่าทดแทนใหม่ตามหลักเกณฑ์ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อความเป็นธรรมได้
พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2531กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารงานของกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ.ดังกล่าว โดยมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในกรณีใดกรณีหนึ่งตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 อันเป็นหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2531 ย่อมมีความหมายว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวได้กระทำในฐานะของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2
พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2531กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารงานของกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ.ดังกล่าว โดยมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในกรณีใดกรณีหนึ่งตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 อันเป็นหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2531 ย่อมมีความหมายว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวได้กระทำในฐานะของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: ศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนตามราคาตลาด แม้คณะกรรมการกำหนดราคาเดิมอ้างอิงราคาประเมิน
แม้คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งขึ้นจะได้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์โดยถือเอาบัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรุงเทพมหานครพ.ศ.2531ถึง2534ของกรมที่ดินซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯพ.ศ.2531ใช้บังคับตั้งแต่วันที่23พฤษภาคม2531เนื่องจากมีราคาสูงกว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา9วรรคสี่พ.ศ.2530ซึ่งคณะกรรมการกำหนดราคาต้องถือปฏิบัติตามในขณะนั้นก็ตามแต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่44ข้อ1ยกเลิกความในมาตรา9วรรคสี่โดยให้การกำหนดเงินค่าทดแทนต้องคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา6สภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้นเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา21(1)(4)และ(5)และในข้อ5แห่งประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติดังกล่าวก็ได้บัญญัติให้มีผลใช้บังคับแก่การฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับนี้ใช้บังคับด้วยดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์หรือมีคำสั่งให้คณะกรรมการกำหนดราคาพิจารณาเงินค่าทดแทนใหม่ตามหลักเกณฑ์ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติดังกล่าวศาลย่อมมีอำนาจกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อความเป็นธรรมได้ พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯพ.ศ.2531กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารงานของกระทรวงมหาดไทยจำเลยที่2เป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวโดยมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในกรณีใดกรณีหนึ่งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530อันเป็นหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯพ.ศ.2531ย่อมมีความหมายว่าการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้กระทำในฐานะของจำเลยที่2โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่2