พบผลลัพธ์ทั้งหมด 525 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8080/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ที่เกิดขึ้นหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เป็นโมฆะ ผู้รับเช็คไม่มีสิทธิเรียกร้อง
มูลหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 91ต้องเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อมูลแห่งหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้วจึงหาอยู่ในบังคับตามมาตรา 91 ไม่แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืน พระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 24โดยการที่จำเลยทั้งสองซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วกระทำการออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม อันเป็นการมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นกับโจทก์ร่วมตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินประเภทเช็ค ซึ่งเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองโดยมิใช่กรณีกระทำตามคำสั่งศาลหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จ้ดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ดังนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ร่วมหามีสิทธินำเช็คพิพาทไปยื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์คดีความผิดต่อส่วนตัวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 124 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 121 และโจทก์ร่วมก็ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 30 ศาลชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8080/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทหลังล้มละลาย: มูลหนี้เป็นโมฆะ, ไม่มีอำนาจฟ้อง
มูลหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 91 ต้องเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อมูลแห่งหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้ว จึงหาอยู่ในบังคับตามมาตรา 91 ไม่ แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืน พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 24 โดยการที่จำเลยทั้งสองซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วกระทำการออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ร่วม อันเป็นการมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นกับโจทก์ร่วมตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินประเภทเช็ค ซึ่งเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองโดยมิใช่กรณีกระทำตามคำสั่งศาลหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายดังนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะ โจทก์ร่วมหามีสิทธินำเช็คพิพาทไปยื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย ตามป.วิ.อ. มาตรา 28 จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์คดีความผิดต่อส่วนตัวได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 124 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 และโจทก์ร่วมก็ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 ศาลชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7966/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจัดรูปที่ดิน: จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เบื้องต้น, จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2517มาตรา13,14,17และ30สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดจำเลยที่2จะต้องดำเนินการจัดรูปที่ดินให้อยู่ในกรอบกำหนดของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางกับคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดและเป็นเพียงเจ้าหน้าที่เบื้องต้นในการจัดรูปที่ดินการดำเนินการของจำเลยที่2ยังไม่มีผลบังคับแก่เจ้าของที่ดินในโครงการเพราะต้องมีการเสนอการดำเนินการจัดรูปที่ดินดังกล่าวต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดเพื่อพิจารณาแล้วนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดรูปที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินชั้นที่สุดดังนั้นลำพังการดำเนินการจัดรูปที่ดินของจำเลยที่2หาใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่2 พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2517มีบทบัญญัติกำหนดองค์กรให้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการจัดรูปที่ดินและกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องในรูปของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางและคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดไว้เป็นเอกเทศหากผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดรูปที่ดินได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของเจ้าของที่ดินในโครงการจัดรูปที่ดินหรือของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องร้องต่อศาลได้แม้ผู้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าวจะมิได้เป็นนิติบุคคลก็ตามดังนั้นเพียงแต่สำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดจำเลยที่2เป็นส่วนราชการอยู่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่1ก็ดีหรือจำเลยที่1มีหน้าที่ควบคุมดูแลแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ดีหรือแม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานกรรมการของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางก็ดีหาถือได้ว่าจำเลยที่1เป็นผู้กระทำหรือต้องรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับวิธีการในการจัดรูปที่ดินของจำเลยที่2ไม่จำเลยที่1จึงมิได้เป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรงทั้งศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยที่1จัดรูปที่ดินให้ใหม่ตามคำฟ้องของโจทก์ได้เพราะจำเลยที่1ไม่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเองในเรื่องนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7717/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลดหนี้จากการผ่อนผันค่าปรับในสัญญาประกันตัวคนต่างด้าว ผู้บังคับการมีอำนาจผูกพันโจทก์
จำเลยทำบันทึกรับรอง ฉ. คนต่างด้าว ภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง กรุงเทพมหานครโจทก์ แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่จัดการส่ง ฉ. เดินทางออกไปจากราชอาณาจักรไทยอ้างว่าจำวันนัดผิด โจทก์สอบสวนแล้วเห็นว่าจำเลยขาดเจตนาที่จะผิดเงื่อนไขการรับรอง จำเลยทำคำร้องขอผ่อนผันการปรับตามบันทึกรับรองต่อโจทก์ ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์ ได้มีคำสั่งเห็นชอบผ่อนผันระงับการปรับจำเลยแล้ว อันเป็น คำสั่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของโจทก์โดยตรงและชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์กระทำไปตามอำนาจในฐานะเป็นคู่สัญญากับจำเลยส่วนอธิบดีกรมตำรวจมิใช่คู่สัญญากับจำเลยจึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมตำรวจ ถือว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาปลดหนี้ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 แล้วหนี้ค่าปรับตามสัญญาดังกล่าวจึงระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7627/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษา กรณีจำเลยไม่มีภูมิลำเนาในประเทศและไม่ได้แต่งตั้งทนาย
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ ดังนี้ หากศาลไต่สวนแล้วได้ความตามคำร้องว่าขณะถูกฟ้องจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศและจำเลยที่ 3 ไม่ได้แต่งตั้ง น.ให้เป็นทนายความ กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินมานั้นก็ย่อมไม่ชอบมาแต่ต้น กระบวนพิจารณาต่อ ๆ มาจนกระทั่งพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ย่อมไม่ชอบไปด้วย เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยหลงผิดว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และแต่งตั้งให้ น.เป็นทนายความมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนจำเลยที่ 3 ได้
กรณีเช่นนี้จะอ้างว่าคดีถึงที่สุดแล้วเพราะจำเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาก็ไม่ได้เช่นกันเพราะกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบมาแต่ต้นนั้น ย่อมส่งผลให้คำพิพากษาคดีและการอ่านคำพิพากษาไม่ชอบไปด้วย จำเลยที่ 3 ผู้ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเมื่อได้ทราบถึงข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นเมื่อใด ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวน-พิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวแล้วเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้องได้
การร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในกรณีเช่นนี้ จะบังคับให้จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาโดยที่จำเลยที่ 3 ยังไม่ทราบถึงข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างว่าผิดระเบียบนั้น ย่อมเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยฟ้อง จะกระทำได้ ดังนั้น จำเลยที่ 3จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นในคดีเดิมเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีผิดระเบียบดังกล่าวเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมมิให้มีผลผูกพันถึงจำเลยที่ 3 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
กรณีเช่นนี้จะอ้างว่าคดีถึงที่สุดแล้วเพราะจำเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาก็ไม่ได้เช่นกันเพราะกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบมาแต่ต้นนั้น ย่อมส่งผลให้คำพิพากษาคดีและการอ่านคำพิพากษาไม่ชอบไปด้วย จำเลยที่ 3 ผู้ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเมื่อได้ทราบถึงข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างของการผิดระเบียบนั้นเมื่อใด ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวน-พิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวแล้วเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้องได้
การร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในกรณีเช่นนี้ จะบังคับให้จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาโดยที่จำเลยที่ 3 ยังไม่ทราบถึงข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างว่าผิดระเบียบนั้น ย่อมเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยฟ้อง จะกระทำได้ ดังนั้น จำเลยที่ 3จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นในคดีเดิมเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีผิดระเบียบดังกล่าวเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมมิให้มีผลผูกพันถึงจำเลยที่ 3 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7565/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันตัวผู้ต้องหาและหนังสือมอบอำนาจ: การปิดอากรแสตมป์และการใช้เป็นพยานหลักฐาน
สัญญาประกันเพื่อปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวโดยมีหลักประการตามมาตรา112แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิใช่เป็นสัญญาค้ำประกันซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา680และมิใช่ตราสารที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา104ไม่ตกอยู่ในบังคับตามมาตรา118แห่งประมวลรัษฎากรจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ หนังสือมอบอำนาจซึ่งจำเลยที่1มอบอำนาจให้จำเลยที่2ไปประกันตัวผู้ต้องหามีข้อความว่าจำเลยที่1ขอมอบอำนาจให้จำเลยที่2เป็นผู้มีอำนาจนำโฉนดที่ดินไปประกันตัวจ.ผู้ต้องหาไปจากความควบคุมตัวของพนักงานสอบสวนแทนจำเลยที่1จนเสร็จการและจำเลยที่1ยอมรับผิดชอบในการที่ผู้รับมอบอำนาจได้ทำไปตามที่มอบอำนาจนี้ภายในวงเงินไม่เกินราคาที่ดินโฉนดข้อความดังกล่าวมีความหมายว่าจำเลยที่1มอบอำนาจให้จำเลยที่2มีอำนาจไปประกันตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนแทนจำเลยที่1จนเสร็จการจึงเป็นการมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียวซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์10บาทตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ7(ก) คำว่า"กระทำ"ในบทนิยามมาตรา103แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อใช้เกี่ยวกับตราสารหมายความว่าการลงลายมือชื่อตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การที่จำเลยที่2ผู้รับมอบอำนาจต้องลงลายมือชื่อตามที่พนักงานสอบสวนนัดให้ส่งตัวผู้ต้องหาหลายครั้งที่ด้านหลังสัญญาประกันจึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่1มอบอำนาจให้จำเลยที่2กระทำการมากกว่าครั้งเดียวแต่เป็นกรณีที่จำเลยที่2ต้องปฎิบัติตามเงื่อนเวลาที่พนักงานสอบสวนกำหนดให้ผู้ประกันต้องปฎิบัติตามในการส่งตัวผู้ต้องหาเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7421/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจร่วมดำเนินกิจการ: การใช้ตราบริษัทของจำเลยที่ 1 หลังจดทะเบียนแล้ว แสดงถึงการมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2
ขณะโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ดูแลรักษาความปลอดภัยในศูนย์การค้า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล โดยจำเลยที่ 1จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหลังจากมีการมอบอำนาจแล้ว 4 วันและตามหนังสือมอบอำนาจมีตราของห้างจำเลยที่ 1 ประทับไว้ที่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แสดงว่าโจทก์ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ร่วมดำเนินกิจการกับจำเลยที่ 2 ด้วยมิใช่เป็นเรื่องมอบอำนาจระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2โดยเฉพาะเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำจากสัญญาเช่าซื้อ: คดีก่อนถึงที่สุดแล้ว ฟ้องคดีใหม่ขอค่าเสียหายส่วนที่เหลือถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความทั้งสองคดีเป็นคู่ความรายเดียวกันและเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันมีมูลมาจากการผิดสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกัน โดยคดีก่อนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์และส่งมอบรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน ส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายในส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากการประมูลขายรถยนต์ที่ยึดคืนมาได้กับค่าใช้จ่ายในการประมูลขายรถยนต์ซึ่งโจทก์สามารถประเมินความเสียหายได้ตั้งแต่ขณะยึดรถยนต์คืนจากจำเลยที่ 1 และชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาในคดีก่อน ดังนั้นทั้งสองคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ และจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์เพียงใด เมื่อคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7262/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีผิดสัญญาเช่าซื้อเดิมถึงที่สุดแล้ว การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมจากการประมูลรถยนต์ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความทั้งสองคดีเป็นคู่ความรายเดียวกันและเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันมีมูลมาจากการผิดสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันโดยคดีก่อนโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าขาดประโยชน์และส่งมอบรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายในส่วนที่ยังขาดอยู่หลังจากการประมูลขายรถยนต์ที่ยึดคืนมาได้กับค่าใช้จ่ายในการประมูลขายรถยนต์ซึ่งโจทก์สามารถประเมินความเสียหายได้ตั้งแต่ขณะยึดรถยนต์คืนจากจำเลยที่1และชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาในคดีก่อนดังนั้นทั้งสองคดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่และจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์เพียงใดเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้วฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6576/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบตัวแทนที่มิได้เปิดเผยชื่อและการพิพากษาเกินคำขอในคดีซื้อขายที่ดิน
การที่โจทก์นำสืบว่าส. ผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์เป็นกรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำไว้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา806ย่อมนำสืบได้เพราะนำสืบเรื่องความจริงที่เป็นอยู่มิได้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข) ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่87ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าได้มีการขอแบ่งแยกแล้วโดยคำขอท้ายฟ้องระบุว่าเป็นที่ดินล็อกที่3ทั้งได้แนบแผ่นที่มาท้ายฟ้องด้วยซึ่งจำเลยก็มิได้ให้การหรือนำสืบโต้แย้งอย่างใดเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)แล้วเป็นเลขที่1319ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีดังนั้นการที่ศาลพิพากษาคดีโดยกล่าวถึงที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ดังกล่าวจึงมิได้เป็นการพิจารณาเกินคำขอของโจทก์แต่อย่างใด