คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สัญชัย สิงหลกะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 170 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5613/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของผู้จัดการมรดกสิ้นสุดเมื่อศาลมีคำพิพากษาถอนสถานะ และการจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกย่อมมีผลสมบูรณ์
เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหากบุคคลใดประสงค์จะขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกคนใหม่แทนโจทก์กระทำได้โดยยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเดิม แต่ถ้าจะฟ้องโจทก์แยกต่างหากจากคดีเดิมโดยอาศัยเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727ก็ย่อมกระทำได้ ทั้งนี้เพราะบทบัญญัติดังกล่าวให้ยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีเดิมก่อนการปัน มรดก เสร็จสิ้นลงเท่านั้น หาได้ตัดสิทธิมิให้ผู้ขอไปฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่างหากไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ถอนโจทก์จากการเป็นผู้จัดการมรดก และตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดกแทนโจทก์ ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์โจทก์จึงไม่ใช่ผู้จัดการมรดกของผู้ตายอีกต่อไป จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย การที่ผู้จัดการมรดกได้ทำตามมติที่ประชุมทายาทโดยโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย เป็นการจัดการเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายนิติกรรมดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5591/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษ พ.ร.บ.การพนัน: ต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.เอง ไม่ใช้ประมวลกฎหมายอาญา
พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 14 ทวิ (2) เป็นบทบัญญัติในการเพิ่มโทษเกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. การพนันที่กำหนดไว้เป็นพิเศษต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตราดังกล่าว จะนำหลักเกณฑ์ในเรื่องการเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5564/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่โจทก์ในการนำพยานสืบ และผลของการไม่มาศาลตามนัด
วันนัดสืบพยานโจทก์แม้จะมิใช่นัดแรก โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่นำพยานเข้าสืบตามกำหนดนัด หากไม่ติดใจสืบพยานอีกก็ต้องแถลงให้ศาลทราบเพื่อจะได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป การที่ทนายโจทก์แถลงไว้ในนัดก่อนว่า หากนัดหน้าไม่สามารถติดตาม ส. มาเบิกความได้ก็ให้ถือว่าทนายโจทก์ไม่ติดใจสืบ ส. อีกก็หาได้มีความหมายถึงกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลด้วยไม่ เมื่อโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกฟ้องเสียได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5412/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองอุทธรณ์โดยผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอัยการ มีผลสมบูรณ์ทางกฎหมาย
ผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอัยการลงชื่อรับรองอุทธรณ์ว่า มี เหตุสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัย มีผลเท่ากับอธิบดีกรมอัยการ รับรองเอง และการรับรองหาจำต้องรับรองไว้ในตัวคำฟ้องอุทธรณ์ เสมอไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5351/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานทำไม้และมีไม้หวงห้ามในป่าสงวน: การแยกความผิดเป็นกรรมต่างกัน และการใช้บทกฎหมายที่มีโทษหนักสุด
การที่จำเลยทั้งสามทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีไม้สักที่มิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง แม้ไม้สักที่จำเลยทั้งสามทำและมีไว้ในครอบครองจะเป็นจำนวนเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันซึ่งต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ส่วนการทำไม้สักในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท และโทษตามพ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14,31 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ถือว่าโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73วรรคสอง หนักกว่าโทษตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14,31วรรคสอง จึงลงโทษจำเลยทั้งสามตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ มาตรา 11,73วรรคสอง อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยทั้งสามจะฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากสำนวน และมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยคนใดกระทำความผิด เพราะจำเลยทั้งสามนำสืบปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ามีไม้ของกลางบรรทุกบนรถยนต์คันเกิดเหตุนั้น แต่ฎีกาจำเลยทั้งสามล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีคมจนเป็นอันตรายสาหัส และแจ้งความเท็จ ศาลยืนโทษจำคุก
บาดแผลที่คอของโจทก์ที่ 2 จากการถูกเชือด ด้วยมีดทำครัวแผลบนกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 9 เซนติเมตร แผลล่างกว้าง 3 เซนติเมตรยาว 14 เซนติเมตร เป็นบาดแผลบริเวณที่สำคัญ ทำให้โจทก์ที่ 2มีอาการเจ็บปวด หันคอไม่สะดวก หลังจากผ่าตัดและเย็บแผล 2 ครั้งแพทย์ต้องนัดโจทก์ที่ 2 ไปตรวจรักษาอีก 3 ครั้ง รวมเวลาที่ใช้รักษาทั้งหมด 30 วัน แม้จะได้ความว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ได้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย และยังสามารถไปให้การต่อพนักงานสอบสวนได้เองหลายครั้งในระหว่างที่ยังรักษาบาดแผลอยู่ ก็มิได้หมายความว่าโจทก์ที่ 2จะสามารถประกอบกรณียกิจตามปกติได้ในระหว่างนั้น จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 ป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันอันเป็นอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ทำร้ายโจทก์ที่ 2 โดยใช้มีดเชือด บริเวณลำคอจนโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัสเป็นบาดแผลฉกรรจ์ถึง 2 แผล เกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ยังไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาโจทก์ที่ 2 ใช้มีดฟันที่แขนจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เป็นความจริง และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้พยายามบรรเทาผลร้ายโดยให้ความช่วยเหลือแก่โจทก์ที่ 2 แต่อย่างใด แม้จำเลยที่ 1 จะประกอบอาชีพเป็นหลักฐานและเคยมีคุณความดีมาก่อน แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แล้ว ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4286/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาท: สุจริต ป้องกันตนเอง ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีโจทก์ที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แต่ยังไปได้จำเลยเป็นภริยาอีกจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน 1 คน การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสอง นั้น จึงเป็นการกล่าวโดยสุจริตด้วยความชอบธรรมเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่ใช่กล่าวเพื่อกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ทั้งสอง และไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองด้วย โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ที่ 1 มิได้ทำให้จำเลยมีครรภ์จำเลยมิได้เป็นภริยาโจทก์ที่ 1 และมิได้อยู่กินกับโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ไม่เคยกีดกัน ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งและหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อันเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3436/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี, ข้อเท็จจริง, ดุลพินิจศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า ส. ภริยาจำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจำนำแก่ ค. การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกมิใช่ความผิดฐานลักทรัพย์และสัญญายอมใช้ค่าเสียหายระหว่าง จ. บิดาจำเลยกับผู้เสียหายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้นก็เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังนี้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: การออกเช็คเพื่อยืนยันความรักและเจตนาสมรส ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม ผู้รับมีอำนาจฟ้อง
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์เพื่อยืนยันว่า จำเลยรักใคร่โจทก์ จำเลยจะสมรสกับโจทก์เป็นการให้เงินตามเช็คแก่โจทก์โดยมีมูลหนี้บังคับกันได้ การออกเช็คพิพาทของจำเลยในลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
of 17