คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สัญชัย สิงหลกะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 170 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษคดีพนัน: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษได้ แม้โจทก์มิได้นำสืบความร้ายแรง และไม่ต้องกล่าวถึงคำแก้ของจำเลยโดยละเอียด
การกระทำความผิดใด เป็นภัยร้ายแรงต่อ ส่วนรวมหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โจทก์มิต้องนำสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และสภาพความผิดดังกล่าว ศาลอาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ ดุลพินิจ กำหนดโทษจำคุกจำเลยเสียใหม่ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ตลอดจนคำแก้ อุทธรณ์ของจำเลยประกอบกันด้วย แล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง หยิบยกเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยขึ้นมาว่ากล่าวให้ปรากฏรายละเอียดประการอื่นโดยเฉพาะ แต่ ประการใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษคดีพนัน: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษได้ แม้โจทก์มิได้นำสืบภัยร้ายแรงต่อสังคม และพิจารณาเหตุปรานีจำเลยได้
การกระทำความผิดใด เป็นภัยร้ายแรงต่อ ส่วนรวมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โจทก์มิต้องนำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา84(1) ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 และสภาพความผิด ดังกล่าวศาลอาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ ดุลพินิจ กำหนดโทษจำคุกจำเลยเสียใหม่ถือ ได้ ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ตลอดจนคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยประกอบกันด้วย แล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง หยิบยกเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยขึ้นมาว่ากล่าวให้ปรากฏรายละเอียดประการอื่นโดยเฉพาะ แต่ ประการ ใด จำเลยเปิดร้านขายอาหารและของชำ มีบุตรผู้เยาว์ 2 คนต้องอุปการะเลี้ยงดู โพยสลากกินรวบมี 6 แผ่น และเป็นรายย่อย ๆเงินสดของกลางที่ยึดได้ มีเพียง 80 บาท จึงไม่ใช่เป็นการพนันรายใหญ่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานีให้รอการลงโทษจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์: ทะเบียนรถไม่ใช่หลักฐานเด็ดขาด ต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ทะเบียนรถยนต์เป็นเพียงบันทึกแสดงการจดทะเบียนของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายละเอียดของรถเท่านั้น หาใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถนั้นไม่ เมื่อผู้ร้องขอคืนของกลางนำสืบฟังไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่แท้จริง ประเด็นข้ออื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลต้อง ยก คำร้องของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของทรัพย์ที่ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่อาจเรียกคืนทรัพย์สินได้
แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องให้จำเลยเช่า โรงงานและเช่าซื้อ อุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลางก็ตาม แต่ ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ ขอ อนุญาตต่อ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแบ่งบรรจุก๊าซไว้ และในระหว่างให้จำเลยเช่า โรงงานนั้น ผู้ร้องก็หาได้ แจ้งเลิกกิจการไม่ ทั้งขณะเมื่อเจ้าพนักงานเข้าจับกุมจำเลยซึ่ง ร่วมถ่ายเทก๊าซก็ได้ แสดงตัว เป็นผู้ควบคุมดูแล และได้แสดงใบอนุญาตบรรจุก๊าซของผู้ร้อง ดังนี้ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยประกอบกิจการแบ่งบรรจุก๊าซในนามผู้ร้องผู้ร้องจึงรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนอุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1327/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ น้ำหนักบรรทุกเกินกำหนดก่อความเสียหายร้ายแรง ไม่รอการลงโทษและริบรถ
การที่จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของกลาง ซึ่ง มีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่ทางราชการกำหนดถึง 5,800 กิโลกรัม มาเดิน บนทางหลวงแผ่นดิน นอกจากจะทำความเสียหายแก่ทางสัญจรไปมาของประชาชน ทำให้ต้อง สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการบูรณะซ่อมแซม อันมีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติโดย ส่วนรวมแล้วก็ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อ ผู้ขับขี่ยานพาหนะอื่นอีกด้วย ทั้งจำเลยกระทำความผิดเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึง ความสูญเสียที่จะเกิดตาม มา จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลย และไม่มีเหตุที่จะไม่ริบรถยนต์บรรทุกของกลางที่จำเลยใช้ กระทำความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพในคดีอาญา ศาลต้องสอบถามให้ชัดเจนถึงข้อหาที่รับสารภาพเพื่อความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม
ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใด บ้าง แล้วจึงถาม คำให้การจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่ง จำเลยทั้งสองก็ให้การ รับสารภาพว่าได้ กระทำ ผิดจริงตาม ฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาตาม ที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถาม จำเลยทั้งสองต่อไปอีกว่า จำเลยทั้งสองรับสารภาพในข้อหาใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพในคดีอาญา: ศาลไม่ต้องถามย้ำถึงข้อหาที่รับสารภาพหากจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง
เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใดบ้าง แล้วจึงถามคำให้การจำเลย ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถามจำเลยต่อไปอีกว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพในคดีอาญา ศาลไม่จำเป็นต้องถามข้อหาเฉพาะ หากจำเลยรับสารภาพตามฟ้องทั้งหมด
เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใดบ้าง แล้วจึงถามคำให้การจำเลย ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถามจำเลยต่อไปอีกว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงไม่ฟ้องคดีแพ่งและอาญาไม่ครอบคลุมความผิดตามเช็คที่ออกชำระหนี้เดิม
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 54,600 บาท โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ที่สถานีตำรวจว่า จำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์โดย ออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสั่งจ่ายเงินตาม จำนวนหนี้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ติดใจฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งและคดีอาญาครั้นเช็ค ถึง กำหนด จำเลยนำเงิน5,000 บาทไปชำระหนี้แก่โจทก์ และได้ ออกเช็ค พิพาทชำระหนี้ส่วนที่เหลือมอบให้โจทก์ไว้ แต่ สั่งจ่ายเงินขาดไป 1,000 บาท โดย รับรองว่าจะชำระให้โจทก์ในคราวหน้า ครั้นวันเช็ค พิพาทถึง กำหนด จำเลยนำเงินไปชำระแก่โจทก์ 2,000 บาท เป็นการชำระเงินที่ขาดอยู่ 1,000 บาทและให้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 1,000 บาท ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินตาม เช็ค พิพาท ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ถือ ไม่ ได้ว่าเป็นการยอมความในกรณีความผิดตาม เช็ค พิพาทซึ่ง จำเลยออกชำระหนี้แก่โจทก์แทนเช็ค ฉบับ จำนวน เงิน 54,600 บาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทหุ้นส่วน: สิทธิเรียกร้องเงินยังไม่เกิดเมื่อห้างหุ้นส่วนไม่เสร็จและไม่มีกำไร จำเลยไม่ต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
เช็คพิพาทจำเลยออกให้แก่โจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันโดยมุ่งหมายให้เป็นประกันในการคืนทุนเมื่อเสร็จการของห้างหุ้นส่วนและเมื่อมีผลกำไร แต่กลับปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จการตามกำหนดและยังไม่มีผลกำไร เช่นนี้โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค การที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3.
of 17