คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุระ หวังอ้อมกลาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเสพยาเสพติดและขับรถภายใต้อิทธิพลยาเสพติด: ศาลฎีกาแก้ไขเป็นกรรมเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์และฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยสารเสพวัตถุออกฤทธิ์เป็นความผิดสองกรรมโดยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา157ทวิวรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดศาลอุทธรณ์ภาค1จึงพิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์ให้ถูกต้องเท่านั้นแสดงว่าศาลอุทธรณ์ภาค1ยังคงลงโทษจำเลยเป็นความผิดสองกรรมดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมนั้นจึงเป็นการฎีกาในข้อกฎหมายที่ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1เป็นฎีกาที่ไม่ชอบและแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องมาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแต่ฟ้องโจทก์ระบุวันเวลากระทำความผิดฐานต่างๆเป็นวันเวลาเดียวกันทั้งมิได้บรรยายว่าวัตถุออกฤทธิ์ที่จำเลยเสพก่อนขับรถกับที่จำเลยเสพขณะขับรถนั้นเป็นคนละจำนวนกันดังนั้นการเสพวัตถุออกฤทธิ์กับการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับขี่รถโดยเสพวัตถุออกฤทธิ์เป็นการกระทำหลายอันที่เป็นผลต่อเนื่องกันจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาใช่เป็นความผิดสองกรรมดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพูดที่ไม่สุภาพต่อหน้าธารกำนัล ไม่ถึงขั้นดูหมิ่น ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำความผิดอาญา
สาเหตุที่โจทก์พูดว่าจำเลยนั้น เนื่องจากโจทก์ไม่พอใจที่จำเลยไม่จ่ายเงินรางวัล (tip) ให้แก่โจทก์ จึงเกิดมีการทะเลาะโต้เถียงกัน แล้วโจทก์จึงพูดว่าจำเลยเป็นนายจ้างที่ใช้ไม่ได้ พูดจากลับกลอก เดี๋ยวว่าให้เดี๋ยวว่าไม่ให้นั้น เป็นเพียงคำพูดที่ไม่สุภาพ ไม่ถึงกับเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าต่อหน้าธารกำนัลถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพูดที่ไม่สุภาพต่อหน้าธารกำนัล ไม่ถึงขั้นเป็นความผิดอาญาต่อนายจ้าง
สาเหตุที่โจทก์พูดว่าจำเลยนั้นเนื่องจากโจทก์ไม่พอใจที่จำเลยไม่จ่ายเงินรางวัล(tip)ให้แก่โจทก์จึงเกิดมีการทะเลาะโต้เถียงกันแล้วโจทก์จึงพูดว่าจำเลยเป็นนายจ้างที่ใช้ไม่ได้พูดจากลับกลอกเดี๋ยวว่าให้เดี๋ยวว่าไม่ให้นั้นเป็นเพียงคำพูดที่ไม่สุภาพไม่ถึงกับเป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้าต่อหน้าธารกำนัลถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นระบุชื่อต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด หากไม่เป็นไปตามนั้น การโอนหุ้นนั้นไม่สมบูรณ์และไม่มีผลผูกพัน
โจทก์รับโอนหุ้นของจำเลยที่1ซึ่งเป็นหุ้นสามัญระบุชื่อบริษัทอ. เป็นผู้ถือหุ้นมาจากย. โดยไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่1และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129ที่กำหนดไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองจึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่1ได้การที่จำเลยที่1และที่2ปฏิเสธการออกใบหุ้นของจำเลยที่1ให้แก่โจทก์ย่อมเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นไม่เป็นไปตามข้อบังคับบริษัทและกฎหมาย ทำให้การโอนหุ้นไม่สมบูรณ์
ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 กำหนดไว้ว่า การโอนหุ้นจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน รวมทั้งระบุชื่อและที่อยู่ของผู้รับโอนให้ชัดแจ้ง โดยมีพยานสองคนลงลายมือชื่อรับรอง และจดแจ้งการโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น และตาม ป.พ.พ.มาตรา 1129 วรรคสอง บัญญัติว่า การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย แต่ตามหลักฐานใบโอนหุ้นตามคำฟ้องโจทก์และใบสำคัญการโอนหลักทรัพย์คงมีแต่ลายมือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัท อ. ไม่มีรายชื่อผู้รับโอนและพยานลงลายมือชื่อรับรอง ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 และบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การโอนหุ้นระหว่างโจทก์กับบริษัท อ.จึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10190/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน: การปฏิบัติตามระเบียบและสิทธิของผู้เสนอราคา
ระเบียบของกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๓๙ ระบุว่า การประมาณราคาทรัพย์ที่มีการจำนำ หรือจำนองต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับ ข้อ ๓๗ และ ๓๘ แต่ให้หมายเหตุไว้ด้วยว่าจำนำหรือจำนองเมื่อใด เพื่อประกอบดุลพินิจในการขายทอดตลาดระเบียบดังกล่าวบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ทำการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้ทำหมายเหตุไว้ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีบกพร่องไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ถึงกระนั้นข้อบกพร่องดังกล่าวก็มิได้ทำให้การยึดทรัพย์และขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบ เพราะระเบียบดังกล่าวมีไว้เพื่อประโยชน์ในการประมาณราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด แต่การประมาณราคาทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่าประมาณราคาต่ำหรือผิดพลาดเพราะความบกพร่องด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ผู้นำยึดได้คัดค้านการประมาณราคาทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าไม่ถูกต้องหรือต่ำกว่าราคาท้องตลาดการประมาณราคาทรัพย์สินจำเลยที่โจทก์นำยึดครั้งนี้จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดการขายทอดตลาด และทำการขายมาแล้วถึงสี่ครั้ง แต่ได้ราคาต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ประมาณการไว้ และในการขายแต่ละครั้งโจทก์มีสิทธิเข้าสู้ราคาเพื่อให้ได้ราคาขายที่สูง แต่โจทก์ก็ละเลยไม่เข้าสู้ราคา ในการขายครั้งสุดท้ายเมื่อ ว.ให้ราคาสูงสุดซึ่งสูงกว่าที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งขายให้ ว. การดำเนินการขายของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบด้วยระเบียบและกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: เจตนาและเหตุบันดาลโทสะ
จำเลยใช้มีดดาบตัวมีดยาวประมาณ ๑๘ นิ้ว ด้ามมีดยาวประมาณ๑๓ นิ้ว เป็นอาวุธฟันโจทก์ร่วมที่ใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และโจทก์ร่วมมีบาดแผลลึกถึงกระดูก แต่บริเวณใบหน้ามิใช่ส่วนหนาของร่างกายและไม่ปรากฏว่ากระดูกบริเวณดังกล่าวของโจทก์ร่วมแตกหรือร้าวแต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมโดยแรง และการที่จำเลยเข้ามาฟันโจทก์ร่วมด้วยอารมณ์โกรธในครั้งแรกอย่างรวดเร็วเช่นนั้น หากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงฟันโจทก์ร่วมแรงกว่านั้นหรือใช้มีดดาบแทงที่หน้าตาของโจทก์ร่วม มิใช่เงื้อมีดจะฟันโจทก์ร่วมอีก จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมต้องเข้ารักษาตัวโดยนอนที่โรงพยาบาล ๗ วัน หลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่บ้านต่อเป็นเวลาอีก ๒ เดือน ขณะที่มาอยู่ที่บ้าน ๒ เดือนนี้ โจทก์ร่วมมีอาการไม่ปกติเนื่องจากเจ็บปาก เมื่อเคี้ยวอาหารจะรู้สึกเจ็บ ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ.มาตรา ๒๙๗
การที่ จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วม เมื่อ จ.กลับมาที่โต๊ะจำเลย ก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้น ไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อน หรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใด หากจำเลยไม่ใส่ใจ จ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วม จำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เอง ดังนี้ การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าว จำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส: การพิจารณาเจตนา ความบันดาลโทสะ และเหตุผลในการลดโทษ
จำเลยใช้มีดดาบตัวมีดยาวประมาณ18นิ้วด้ามมีดยาวประมาณ13นิ้วเป็นอาวุธฟังโจทก์ร่วมที่ใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและโจทก์ร่วมมีบาดแผลลึกถึงกระดูกแต่บริเวณใบหน้ามิใช่ส่วนหนาของร่างกายและไม่ปรากฎว่ากระดูกบริเวณดังกล่าวของโจทก์ร่วมแตกหรือร้าวแต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมโดยแรงและการที่จำเลยเข้ามาฟันโจทก์ร่วมด้วยอารมณ์โกรธในครั้งแรกอย่างรวดเร็วเช่นนั้นหากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงฟังโจทก์ร่วมแรงกว่านั้นหรือใช้มีดดาบแทงที่หน้าตาของโจทก์ร่วมมิใช่เงื้อมีดจะฟันโจทก์ร่วมอีกจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ร่วมต้องเข้ารักษาตัวโดยนอนมีโรงพยาบาล7วันหลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่บ้านต่อเป็นเวลาอีก2เดือนขณะที่มาอยู่ที่บ้าน2เดือนนี้โจทก์ร่วมมีอาการไม่ปกติเนื่องจากเจ็บปากเมื่อเคี้ยวอาหารจะรู้สึกเจ็บดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็ดด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297 การที่จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วมเมื่อจ.กลับมาที่โต๊ะจำเลยก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้นไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อทั้งไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อนหรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใดหากจำเลยไม่ใส่ใจจ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วมจำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เองดังนี้การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าวจำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10162/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และอัตราดอกเบี้ยเงินเดือนที่หักไว้
ตามคำสั่งของจำเลยที่สั่งลงโทษโจทก์และให้โจทก์ชดใช้ทางแพ่งอ้างเหตุผลว่าโจทก์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบขาดความสนใจ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของจำเลย ไม่ป้องกันและเก็บรักษาเงิน เมื่อปรากฏว่าเงินที่หายไปไม่ได้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำเลยไม่มีสิทธิหักเงินเดือนของโจทก์เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
เมื่อจำเลยหักเงินเดือนของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าวซึ่งจะต้องคืนให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจตกอยู่ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔และระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งไม่ได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดการจ่ายค่าจ้างไว้ดังเช่นประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๑ ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยของเงินเดือนที่จำเลยหักไว้และต้องคืนให้แก่โจทก์จึงต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ คือ อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9884/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: เจตนาใส่ความ, ความเป็นจริง, และขอบเขตความรับผิดของบรรณาธิการ/ผู้พิมพ์
หนังสือพิมพ์ที่จำเลยเป็นบรรณาธิการลงข้อความในข่าวหน้า 3 ย่อหน้าแรก พูดถึงเรื่องข้าราชการรัฐสภาล่าลายเซ็นส.ส. เพื่อให้แปรญัตติงบประมาณจัดซื้อสินค้า เพื่อหวังค่านายหน้าจากผู้ขายสินค้า ในย่อหน้าที่สอง พูดถึงเรื่องข้าราชการของรัฐสภาผู้นี้เป็นนายหน้าจัดหาผู้หญิงให้แก่ ส.ส. ซึ่งกรณีนี้ข้าราชการหญิงผู้นี้เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนมาแล้ว เมื่อพิจารณาประกอบการพาดหัวข่าวที่ว่า ลากไส้อีโม่ง กินงบ ค้ากามกลางสภาจะเห็นได้ว่าเป็นการพูดกล่าวหาโจทก์คนละเรื่องคนละตอนกัน สำหรับข้อความ ในตอนที่สองทำให้เข้าใจว่า โจทก์เป็นนายหน้าจัดหาเด็กผู้หญิงมาให้ ส.ส. ซึ่งได้มีการสอบสวนลงโทษโจทก์มานานแล้วก่อนที่จำเลยจะนำมาลงเป็นข่าว การลงข่าวดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 และเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลงข่าวเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามคำฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 เท่านั้น ไม่มีข้อความตอนใดที่ มุ่งประสงค์จะให้จำเลยต้องรับผิดในฐานะบรรณาธิการหรือผู้พิมพ์ ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484ที่โจทก์บรรยายในตอนแรกว่า จำเลยเป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ โฆษณา ก็เป็นการบอกถึงฐานะของจำเลยเท่านั้น ประกอบกับ โจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวมาด้วยศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในฐานะบรรณาธิการหรือผู้พิมพ์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
of 90