พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกันฉ้อฉลและยักย้ายทรัพย์มรดก ทำให้การซื้อฝากเป็นโมฆะ และตัดสิทธิการยกอายุความ
จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกของ บ. โดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกที่ยังมิได้แบ่งแก่โจทก์ทั้งหกผู้เป็นทายาทของ บ. อันเป็นการรับซื้อฝากไว้โดยไม่สุจริต เป็นการทำให้โจทก์ทั้งหกผู้เป็นทายาทซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการสมคบกันทำการฉ้อฉลโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนการขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237
จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ บ. อ้างว่าบ. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียวคือ ย. ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงบ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก 3 คน คือ ด. จ. และ ย. และเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้โอนที่ดินพิพาทเป็นของตนเองแต่ผู้เดียว ไม่จัดการแบ่งปันแก่ทายาท โดยปกปิดเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำหน้าที่รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าไม่มีทายาทอื่น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการปิดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกของ บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปิดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1เป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยกอายุความมาตัดสิทธิโจทก์ทั้งหก สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นทายาท จึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งหก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1755 ได้เช่นกัน
จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ บ. อ้างว่าบ. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียวคือ ย. ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงบ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก 3 คน คือ ด. จ. และ ย. และเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้โอนที่ดินพิพาทเป็นของตนเองแต่ผู้เดียว ไม่จัดการแบ่งปันแก่ทายาท โดยปกปิดเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำหน้าที่รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าไม่มีทายาทอื่น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการปิดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกของ บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปิดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก จำเลยที่ 1เป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยกอายุความมาตัดสิทธิโจทก์ทั้งหก สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นทายาท จึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งหก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1755 ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกันฉ้อฉลในการซื้อขายฝากที่ดินมรดก และการกำจัดทายาทออกจากกองมรดก
จำเลยที่2รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่1ผู้จัดการมรดกของบ. โดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกที่ยังมิได้แบ่งแก่โจทก์ทั้งหกผู้เป็นทายาทของบ. อันเป็นการรับซื้อฝากไว้โดยไม่สุจริตเป็นการทำให้โจทก์ทั้งหกผู้เป็นทายาทซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการสมคบกันทำการฉ้อฉลโจทก์ทั้งหกโจทก์ทั้งหกชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนการขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237 จำเลยที่1ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของบ.อ้างว่าบ. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเพียงคนเดียวคือย.ซึ่งไม่เป็นความจริงความจริงบ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก3คนคือด.จ.และย. และเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้วจำเลยที่1ก็ได้โอนที่ดินพิพาทเป็นของตนเองแต่ผู้เดียวไม่จัดการแบ่งปันแก่ทายาทโดยปกปิดเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำหน้าที่รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าไม่มีทายาทอื่นการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการปิดบังและยักย้ายทรัพย์มรดกจำเลยที่1จึงเป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกของบ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1605 จำเลยที่1เป็นผู้ปิดบังและและยักย้ายทรัพย์มรดกจำเลยที่1เป็นผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยกอายุความมาตัดสิทธิโจทก์ทั้งหกสำหรับจำเลยที่2นั้นไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นทายาทจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งหกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1755ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6615/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขอุปสรรคในการต่อสู้คดี: ศาลปรับบทกฎหมายให้ตรงกับเจตนาของผู้ร้องได้
แม้คำร้องของผู้ร้องจะใช้คำว่าผู้แทนเฉพาะคดีต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา73ที่ใช้คำว่าผู้แทนชั่วคราวก็ตามแต่ก็พึงเห็นได้ว่าผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลตั้งผู้ร้องให้มีอำนาจเข้าไปแก้ไขอุปสรรค์ข้อบกพร่องของจำเลยในการที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีกับโจทก์เพียงแต่ผู้ร้องใช้ถ้อยคำในคำร้องผิดจากถ้อยคำในกฎหมายเท่านั้นชอบที่ศาลจะปรับบทกฎหมายให้เข้ากับข้อเท็จจริงตามคำร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอรับรองเหตุฎีกาต้องยื่นพร้อมคำฟ้องฎีกาและภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคท้ายการขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นเมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้นให้ส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรองเมื่อคำร้องของจำเลยมิได้ยื่นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาคงยื่นเพียงคำร้องโดยลำพังทั้งยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้วจึงเป็นคำร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา247และ248วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับรองเหตุฎีกาต้องยื่นพร้อมคำฟ้องฎีกาและภายในกำหนดเวลา
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคท้าย การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ให้ผู้ฎีกายื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง เมื่อคำร้องของจำเลยมิได้ยื่นพร้อมกับคำฟ้องฎีกา คงยื่นเพียงคำร้องโดยลำพัง ทั้งยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาแล้ว จึงเป็นคำร้องไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 247 และ 248 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6170/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และให้จำเลยที่ 1 จัดแบ่งที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อและโอนให้โจทก์ แต่ตามคำฟ้องปรากฏว่า จำเลยที่ 1 มิใช่คู่สัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องให้เพิกถอนการโอนยกให้ที่ดินพิพาทระหว่าง จ. ผู้ให้เช่าซื้อกับจำเลยที่ 1และขอให้ จ.ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อมาด้วย จำเลยทั้งสามต่างไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6152/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินในเขตป่าสงวน: สิทธิครอบครอง, อำนาจฟ้อง, การรบกวนการครอบครอง และข้อจำกัดตามกฎหมาย
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(3)และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305ห้ามมิให้ที่ดินประเภทดังกล่าวโอนแก่กันประกอบกับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507มาตรา14ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติทำให้ผู้ที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองไม่สามารถใช้ยันรัฐได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่นเมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาให้จำเลยอาศัยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6152/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินในเขตป่าสงวน: สิทธิครอบครอง สิทธิใช้ประโยชน์ และอำนาจฟ้องร้อง
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(3)และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305ห้ามมิให้ที่ดินประเภทดังกล่าวโอนแก่กันประกอบกับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507มาตรา14ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติทำให้ผู้ที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองไม่สามารถใช้ยันรัฐได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่นเมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาให้จำเลยอาศัยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6152/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินในเขตป่าสงวน: สิทธิครอบครองระหว่างราษฎร vs. สิทธิรัฐ
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ห้ามมิให้ที่ดินประเภทดังกล่าวโอนแก่กัน ประกอบกับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14 ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ผู้ที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองไม่สามารถใช้ยันรัฐได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาให้จำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6141/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนกำแพงรุกล้ำและค่าเสียหายจากละเมิด: ปัญหาความเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นราคาได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตที่สร้างต่อเติมติดกับบ้านโจทก์ออกและทำให้กลับสู่สภาพเดิม และจากการที่จำเลยทุบคานและฝาผนังภายในบ้านจำเลย ทำให้บ้านโจทก์แตกร้าวเสียหาย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย85,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อกำแพงที่สร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์ออกและทำรั้วบ้านและฝาผนังบ้านกลับสู่สภาพเดิม ผลเท่ากับพิพากษายืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในกรณีที่จำเลยทำละเมิดโจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน 10,000 บาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์ที่ฎีกาไม่เกินสองแสนบาท-ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248
คดีมีปัญหาว่า กำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีมีปัญหาว่า กำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง