พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6141/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อกำแพงต่อเติมที่บังทัศนียภาพและทางลม และการชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อกำแพงคอนกรีตที่สร้างต่อเติมติดกับบ้านโจทก์ออกและทำให้กลับสู่สภาพเดิมและจากการที่จำเลยทุบคานและฝาผนังภายในบ้านจำเลยทำให้บ้านโจทก์แตกร้าวเสียหายให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย85,000บาทแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย30,000บาทแก่โจทก์คำขออื่นให้ยกโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อกำแพงที่สร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านพิพากษาออกและทำรั่วบ้านและฝาผนังบ้านกลับสู่สภาพเดิมผลเท่ากับพิพากษายืนคำพิพากษาศาลชั้นต้นในกรณีที่จำเลยทำละเมิดโจทก์ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย30,000บาทที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน10,000บาทเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทุนทรัพย์ที่ฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248 คดีมีปัญหาว่ากำแพงที่จำเลยสร้างต่อเติมด้านที่ติดกับบ้านโจทก์บังทิศทางลมที่พัดมาจากทะเลสู่ห้องนอนโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5974/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกล้างสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสมรส: โมฆะหากตกลงไม่ยกเลิก
สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 ได้ให้สิทธิสามีหรือภริยาบอกล้างได้ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากัน จึงเป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของคู่สมรสโดยทั่วไปที่ได้ทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินกันไว้ในระหว่างสมรส โดยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเสน่หาหรือเหตุอื่นใดอันทำให้ตนต้องเสียประโยชน์ มิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกข่มเหงโดยไม่ชอบธรรม และเป็นการป้องกันมิให้ครอบครัวต้องร้าวฉานแตกแยกกันได้ ดังนั้นข้อตกลงที่ว่าจะไม่ยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างสมรสของสามีภริยา จึงมีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 (เดิม)
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรส แม้จะตกลงหย่าขาดกันตามประเพณีศาสนาอิสลามและทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์และทรัพย์สินโดยมีเงื่อนไขระบุไว้ด้วยว่าจำเลยยินยอมผูกพันตามสัญญาตลอดไป และจะไม่ยกเลิกสัญญานี้ แต่เมื่อโจทก์จำเลยยังมิได้จดทะเบียนหย่า ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย สัญญาแบ่งผลประโยชน์และทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรส แม้จะตกลงหย่าขาดกันตามประเพณีศาสนาอิสลามและทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์และทรัพย์สินโดยมีเงื่อนไขระบุไว้ด้วยว่าจำเลยยินยอมผูกพันตามสัญญาตลอดไป และจะไม่ยกเลิกสัญญานี้ แต่เมื่อโจทก์จำเลยยังมิได้จดทะเบียนหย่า ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย สัญญาแบ่งผลประโยชน์และทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5966/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานให้การเท็จช่วยเหลือจำเลย, ความผิดฐานให้การเท็จ
จำเลยที่ 3 ทราบว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ แต่กลับมาให้การเป็นพยานด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5966/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานให้การเท็จพยานต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยร่วม การรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษ
จำเลยที่3ทราบว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์แต่กลับมาให้การเป็นพยานด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่1การกระทำของจำเลยที่3จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการเลิกสัญญาจ้างเหมา: โจทก์ต้องพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง
คดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทเป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการ วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างข้อหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างมิได้ลงมือทำงานภายในกำหนดเวลา โจทก์ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจ้างผู้อื่นทำงานจ้างเหมาก่อสร้างต่อจากจำเลยได้ และอีกข้อหนึ่งแห่งสัญญาดังกล่าวกำหนดว่า ถ้าโจทก์ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา จำเลยผู้รับจ้างยอมให้โจทก์เรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการต่อไปจนงานจ้างเหมาก่อสร้างแล้วเสร็จบริบูรณ์ ดังนี้ ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1ปฏิบัติผิดสัญญาและโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา แม้จะมิใช่เบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาแก่โจทก์ว่าจะใช้ให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวต่อเมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายที่แท้จริงเท่านั้น ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ไปตามความเสียหายที่แท้จริงได้
ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างข้อหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างมิได้ลงมือทำงานภายในกำหนดเวลา โจทก์ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจ้างผู้อื่นทำงานจ้างเหมาก่อสร้างต่อจากจำเลยได้ และอีกข้อหนึ่งแห่งสัญญาดังกล่าวกำหนดว่า ถ้าโจทก์ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา จำเลยผู้รับจ้างยอมให้โจทก์เรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการต่อไปจนงานจ้างเหมาก่อสร้างแล้วเสร็จบริบูรณ์ ดังนี้ ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1ปฏิบัติผิดสัญญาและโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา แม้จะมิใช่เบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาแก่โจทก์ว่าจะใช้ให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวต่อเมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายที่แท้จริงเท่านั้น ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ไปตามความเสียหายที่แท้จริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5848/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหนี้ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มเกษตรกร ไม่ถือเป็นการค้าหากำไร
ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าจำเลยนำข้อนำสืบที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลยมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ จำเลยฎีกาโต้แย้งยืนยันว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงโจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น โดยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยว่าชอบหรือไม่ชอบแต่อย่างใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ตามใบทะเบียนจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรและข้อบังคับของโจทก์ระบุวัตถุประสงค์ให้สมาชิกกลุ่มดำเนินการร่วมกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการประกอบอาชีพประมง รวมทั้งการจัดหาสิ่งของที่สมาชิกต้องการมาจำหน่าย และสำหรับบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่สมาชิกกลุ่มจะซื้อสิ่งของที่โจทก์จัดหามาขายให้สมาชิกต้องซื้อในนามของสมาชิกผู้ให้ความยินยอม ดังนี้ วัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงมิใช่วัตถุประสงค์ของการค้าหากำไร ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำการค้า คำฟ้องโจทก์เรียกเงินค่าสิ่งของที่โจทก์นำมาขายให้สมาชิกจึงไม่ใช่คำฟ้องที่พ่อค้าเรียกเอาค่าส่งมอบสินค้าจากลูกค้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) เดิม ที่มีกำหนดอายุความสองปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5692/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ ต้องเป็นไปตามราคาตลาดหรือราคาซื้อขายจริง ไม่ใช่ราคาต่ำกว่า
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำมิได้มีเจตนาจะให้ชาวนาผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรรมต่อไปเมื่อข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านามิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวเพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไปโจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา2,200,000บาทซึ่งไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่1และที่2โอนขายให้จำเลยที่3และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่3คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา2,200,000บาทเป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่3แต่ถ่ายเดียวศาลไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5692/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ ต้องเป็นไปตามราคาตลาดหรือราคาซื้อขายจริง มิใช่ราคาต่ำกว่าเพื่อแสวงหาประโยชน์
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำมิได้มีเจตนาจะให้ชาวบ้านผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรรมต่อไปเมื่อข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านามิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวเพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไปโจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา2,200,000บาทซึ่งไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่1และที่2โอนขายให้จำเลยที่3และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่3คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา2,200,000บาทเป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่3แต่ฝ่ายเดียวศาลไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5692/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ ต้องเป็นไปตามราคาตลาดและเจตนารมณ์ช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่แสวงหาผลประโยชน์
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำ มิได้มีเจตนาจะให้ชาวนาผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรรมต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านามิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไปโจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา 2,200,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนขายให้จำเลยที่ 3 และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่ 3 คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา 2,200,000 บาท เป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้ การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 3 แต่ถ่ายเดียวศาลไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5169/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทายาทนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรอง และการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยคำนึงถึงประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ผู้คัดค้านเป็นบุตรผู้เยาว์ของ ศ. และเป็นบุตรนอกกฎหมายที่ผู้ตายซึ่งเป็นบิดารับรองแล้วเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้ง ศ. เป็นผู้จัดการมรดกได้ผู้ร้องไม่พอใจที่ผู้ตายมีบุตรกับ ศ. และไม่ยอมรับว่าผู้คัดค้านเป็นทายาทของผู้ตายประกอบกับ ศ. มีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามเป็นผู้จัดการมรดกจึงสมควรตั้ง ศ. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกับผู้ร้อง