พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิอุทธรณ์-ฎีกาคำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา และความสัมพันธ์ของคำฟ้อง-ฟ้องแย้ง
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีมีเหตุอันสมควรที่จะให้ถอนหมายอายัดที่ศาลได้ออกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 258 ในกรณีฉุกเฉินตามคำขอของโจทก์นั้น คดีนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องเงินที่จำเลยที่ 1 มีต่อบริษัท อ. ไม่ใช่สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 และที่ 3ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีส่วนได้เสียในคำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดและไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนจากคำสั่งยกคำร้องขอให้ถอนหมายอายัด จำเลยที่ 2 และที่ 3 จีงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าตนมีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนหมายอายัด จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอถอนหมายอายัด แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ฎีกา คดีจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนหมายอายัดปัญหาตามฎีกาข้างต้นในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนจำเลยที่ 3 ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดด้วย คงมีแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดเมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้ถอนหมายอายัด จำเลยที่ 3ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์เนื่องจากมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามลำดับชั้นศาล การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 3ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 3
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยฉุกเฉิน โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มีเหตุเพียงพอกรณีมีเหตุฉุกเฉิน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอจึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยุติไปแล้ว ทั้งไม่ใช่เหตุที่จะนำมาพิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ถอนหมายอายัดชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินได้
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ตั้งสิทธิเรียกร้องจากมูลละเมิดกล่าวหาว่า โจทก์ร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ให้ได้รับความเสียหาย มิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสามซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ ไม่เกี่ยวข้องกันพอที่จะนำมารวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยฉุกเฉิน โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มีเหตุเพียงพอกรณีมีเหตุฉุกเฉิน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอจึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยุติไปแล้ว ทั้งไม่ใช่เหตุที่จะนำมาพิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ถอนหมายอายัดชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินได้
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ตั้งสิทธิเรียกร้องจากมูลละเมิดกล่าวหาว่า โจทก์ร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ให้ได้รับความเสียหาย มิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสามซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ ไม่เกี่ยวข้องกันพอที่จะนำมารวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากไฟฟ้าดูดในสวนสาธารณะ และการประเมินค่าเสียหายจากการบาดเจ็บถาวร
ว. และจำเลยที่ 1 ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะที่เกิดเหตุของเทศบาลจำเลยที่ 3 ได้เสียบ ปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันหนูไม่ให้มากัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนซึ่งเป็นของจำเลยที่ 3 เป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของ จำเลยที่ 3 ถือว่าเป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ส. เป็นเพียงผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชาย น. ในการดำเนินคดีแทนเด็กชาย น. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัวจำเลยที่ 3 จะอ้างการกระทำของ ส. ซึ่งมิได้เป็นผู้ต้องเสียหายเพื่อให้พ้นความรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 หาได้ไม่ เด็กชาย น. ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาต ตลอดชีวิต พูดไม่ได้ ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ตามสภาพเช่นนี้ค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไปอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตและเด็กชาย น. ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาอนาคตโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยทั้งสามได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิด - ค่าเสียหายต่อเนื่อง - ความรับผิดของผู้กระทำละเมิด
โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงที่มาของค่าเสียหายว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ส.โรงพยาบาล ห. และที่บ้านเป็นเงินรวม 100,000 บาทเป็นการบรรยายในรายละเอียดแล้ว ส่วนหลักฐานใบเสร็จรับเงินโจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ในส่วนเรียกค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม
ว.และจำเลยที่ 1 ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะของจำเลยที่ 3การเสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าก็เพื่อป้องกันหนูมิให้กัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนอันเป็นของจำเลยที่ 3 ย่อมเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 เป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อ และจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยพลการ จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อนี้ จึงเป็นฎีกานอกคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส. บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนเด็กชาย ส. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาการกระทำของ ส.มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 หาได้ไม่
เด็กชาย ส.ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาตตลอดชีวิต พูดไม่ได้ ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตนั่นเอง และเด็กชาย ส.ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง
ว.และจำเลยที่ 1 ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะของจำเลยที่ 3การเสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าก็เพื่อป้องกันหนูมิให้กัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนอันเป็นของจำเลยที่ 3 ย่อมเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 เป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อ และจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยพลการ จำเลยที่ 3 ฎีกาในข้อนี้ จึงเป็นฎีกานอกคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส. บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนเด็กชาย ส. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาการกระทำของ ส.มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 หาได้ไม่
เด็กชาย ส.ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาตตลอดชีวิต พูดไม่ได้ ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตนั่นเอง และเด็กชาย ส.ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากไฟฟ้าดูด: นายจ้างต้องรับผิดชอบการกระทำของลูกจ้าง และค่าเสียหายจากการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง
ว. และจำเลยที่1ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะที่เกิดเหตุของเทศบาลจำเลยที่3ได้เสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันหนูไม่ให้มากัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนซึ่งเป็นของจำเลยที่3เป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่3ถือว่าเป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่3 ส. เป็นเพียงผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายน. ในการดำเนินคดีแทนเด็กชายน. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัวจำเลยที่3จะอ้างการกระทำของส. ซึ่งมิได้เป็นผู้ต้องเสียหายเพื่อให้พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา442ประกอบด้วยมาตรา223หาได้ไม่ เด็กชายน.ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาตตลอดชีวิตพูดไม่ได้ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตายตามสภาพเช่นนี้ค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไปอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตและเด็กชายน. ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาอนาคตโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยทั้งสามได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา444วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากไฟฟ้าดูดในสวนสาธารณะ และการคำนวณค่าเสียหายจากการบาดเจ็บทางร่างกายถาวร
โจทก์ได้รับบรรยายฟ้องถึงที่มาของค่าเสียหายว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ส. โรงพยาบาล ห. และที่บ้านเป็นเงินรวม100,000บาทเป็นการบรรยายในรายละเอียดแล้วส่วนหลักฐานใบเสร็จรับเงินโจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์ในส่วนเรียกค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม ว. และจำเลยที่1ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะของจำเลยที่3การเสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าก็เพื่อป้องกันหนูมิให้กัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนอันเป็นของจำเลยที่3ย่อมเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่3เป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่3 จำเลยที่3มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าจำเลยที่1มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อและจำเลยที่2กระทำไปโดยพลการจำเลยที่3ฎีกาในข้อนี้จึงเป็นฎีกานอกคำให้การศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส. บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนเด็กชาย ส. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัวจำเลยที่3จะอ้างเอาการกระทำของ ส.มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา442ประกอบด้วยมาตรา223หาได้ไม่ เด็กชาย ส. ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาตตลอดชีวิตพูดไม่ได้ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตายค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตนั่นเองและเด็กชาย ส.ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา444วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกโดยตรงของทายาทเมื่อทายาทก่อนเสียชีวิตและสิทธิในการจัดการมรดก
เมื่อ ผ. ถึงแก่ความตายทรัพย์มรดกของ ผ. จึงตกได้แก่บุตรทั้งหกคนของ ผ. แต่ยังไม่ทันที่จะจัดการแบ่งทรัพย์มรดกกันระหว่างทายาท ล.ก็ถึงแก่ความตายเสียก่อน ทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นของ ล. จึงตกได้แก่ผู้คัดค้านที่ 1ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 กรณีเป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับมรดกของ ล.โดยตรง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านที่ 1 เข้ารับมรดกแทนที่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา1639 ผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของ ผ. ผู้ตาย ชอบที่จะร้องขอให้จัดการมรดกของ ผ.ผู้ตายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3777/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกโดยตรงและลำดับทายาท: ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก
เมื่อผ. ถึงแก่ความตายทรัพย์มรดกของผ. จึงตกได้แก่บุตรทั้งหกคนของผ. แต่ยังไม่ทันที่จะจัดการแบ่งทรัพย์มรดกกันระหว่างทายาทล. ก็ถึงแก่ความตายเสียก่อนทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นของล. จึงตกได้แก่ผู้คัดค้านที่1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1599กรณีเป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านที่1ได้รับมรดกของล. โดยตรงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านที่1เข้ารับมรดกแทนที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1639ผู้คัดค้านที่1จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผ. ผู้ตายชอบที่จะร้องขอให้จัดการมรดกของผ. ผู้ตายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเป็นผู้จัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัว ระงับเมื่อผู้ร้องถึงแก่กรรม สิทธิไม่ตกทอดไปยังทายาท
การร้องขอให้ศาลแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกโดยสภาพเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้องเมื่อผู้ร้องถึงแก่ความตายสิทธินั้นย่อมระงับไม่ตกทอดไปยังทายาทฉะนั้น จ. ซึ่งเป็น ทายาทผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้ร้องหาได้ไม่เมื่อไม่อาจเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ได้ จ. จึงเป็น บุคคลนอกคดีไม่อยู่ในฐานะที่จะฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัว สิ้นสุดเมื่อผู้ร้องถึงแก่กรรม ไม่ตกทอดไปยังทายาท
การร้องขอให้ศาลแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ยื่นคำร้องเมื่อผู้ยื่นคำร้องถึงแก่ความตายสิทธินั้นก็ย่อมระงับไปไม่ตกทอดไปยังทายาทจ. ซึ่งเป็นทายาทผู้ร้องไม่อาจเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้องได้จ. จึงเป็นบุคคลนอกคดีไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค1ที่สั่งยกคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนของจ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3665/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าร่วมเป็นจำเลยร่วมและการจำกัดสิทธิในการฟ้องแย้ง
ตามคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมของจำเลยร่วมทั้งห้าอ้างว่าจำเลยและ ท.มารดาของจำเลยร่วมทั้งห้า ได้ร่วมกันซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจาก จ.มาตั้งแต่ปี 2490 แต่มิได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว จ.ได้ส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยและ ท. จำเลยและ ท.ได้ครอบครองใช้ทำประโยชน์ตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ ต่อมา ท.ได้ถึงแก่ความตาย จำเลยร่วมทั้งห้าผู้เป็นบุตรของ ท.จึงได้ครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อมา ซึ่งมีลักษณะเป็นเจ้าของร่วมมีฐานะเดียวกันกับจำเลย และในตอนท้ายของคำร้องจำเลยร่วมทั้งห้าก็ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม จึงเห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยร่วมทั้งห้าได้ร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (2) หาใช่เป็นการร้องขอเข้ามาในฐานะที่เป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามมาตรา 57 (1) ไม่ เมื่อจำเลยร่วมทั้งห้าขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57 (2) จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วม เมื่อจำเลยให้การโดยมิได้ฟ้องแย้ง จำเลยร่วมทั้งห้าจึงไม่อาจใช้สิทธิฟ้องแย้งโจทก์ได้