พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6818/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหลังเจ้าของเสียชีวิต สัญญาไม่ผูกพันกองมรดก หากผู้ทำสัญญาไม่ใช่ผู้จัดการมรดก
สัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทระบุว่าเป็นสัญญาระหว่างนายฤ.โดยนาง บ. (จำเลยที่ 1) ผู้จะขายกับโจทก์ผู้จะซื้อ และข้อ 2.2 วรรคสอง ระบุว่าผู้จะขายตกลงไปขอจัดตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลเพื่อจะโอนที่ดินที่จะขายให้แสดงว่าโจทก์ทราบดีขณะทำสัญญาว่านาย ฤ. เจ้าของที่ดินถึงแก่กรรมแล้ว ดังนั้นการจัดการทรัพย์มรดกจะต้องทำโดยผู้จัดการมรดก จึงจะมีผลผูกพันกองมรดก แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นภริยาของนาย ฤ. แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจทำสัญญารายพิพาทแทนนาย ฤ. ทั้งจะฟังว่าจำเลยที่ 1ทำในฐานะส่วนตัวก็ไม่ได้ เพราะสัญญาระบุไว้ชัดแจ้งว่าทำแทนนายฤ.สัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวหรือกองมรดกของนาย ฤ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6818/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทำสัญญาซื้อขายของภริยาผู้ตาย: สัญญาไม่ผูกพันกองมรดกหากไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดก
สัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทระบุว่าเป็นสัญญาระหว่างนาย ฤ.โดยนาง บ. (จำเลยที่ 1) ผู้จะขายกับโจทก์ผู้จะซื้อ และข้อ 2.2 วรรคสองระบุว่าผู้จะขายตกลงไปขอจัดตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลเพื่อจะโอนที่ดินที่จะขายให้แสดงว่าโจทก์ทราบดีขณะทำสัญญาว่านาย ฤ. เจ้าของที่ดินถึงแก่กรรมแล้ว ดังนั้นการจัดการทรัพย์มรดกจะต้องทำโดยผู้จัดการมรดก จึงจะมีผลผูกพันกองมรดก แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นภริยาของนาย ฤ. แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดก ไม่มีอำนาจทำสัญญารายพิพาทแทนนาย ฤ. ทั้งจะฟังว่าจำเลยที่ 1 ทำในฐานะส่วนตัวก็ไม่ได้เพราะสัญญาระบุไว้ชัดแจ้งว่าทำแทนนาย ฤ. สัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวหรือกองมรดกของนาย ฤ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6529/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และการละเมิดจากการครอบครองที่ดินหลังสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกัน การแปลงหนี้ใหม่
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งอยู่โดยอาศัยสิทธิของ ส. กับพวกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายจากโจทก์แล้วผิดสัญญาจะซื้อจะขายไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์และ ส. กับพวก จำเลยมิได้เป็นคู่สัญญาไม่จำต้องปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวทั้งโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่า ส. กับพวกไม่ชำระเงินที่ค้างตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ ส.กับพวกชำระแล้วแต่ส. กับพวกไม่ชำระถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกัน จำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิ ส. กับพวกจึงเป็นการอยู่โดยไม่มีสิทธิเป็นละเมิด ดังนี้เหตุที่อ้างในฟ้องคดีนี้เป็นเหตุที่อ้างขึ้นใหม่คนละเหตุกับคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้จำเลยรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตจาก ส. เสียค่าตอบแทนและครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ก็เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ซึ่งจะต้องมีการทำสัญญากันระหว่างเจ้าหนี้คือโจทก์กับลูกหนี้คนใหม่คือจำเลย เมื่อปรากฏว่าไม่ได้ทำ หนี้ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กัน ส. กับพวกอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกันแล้ว ส. กับพวกและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่พิพาทต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทต่อมา จึงเป็นการละเมิดโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6419/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่ออนาจาร แม้เด็กมีรูปร่างโตเกินวัย จำเลยสำคัญผิดถือเป็นเหตุบรรเทาโทษได้
การที่เด็กหญิง ข. หลบหนีออกจากบ้านเพียงไปดูภาพยนตร์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านที่อยู่ เมื่อภาพยนต์ เลิกแล้วก็คงกลับบ้านหากไม่ถูกจำเลยพาไป อำนาจในการปกครองดูแลของ จ. หาได้สิ้นสุดลงไม่การที่จำเลยพาเด็กหญิง ข. ไปอยู่ที่อื่นหลายวันถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กหญิง ข. ออกจาก จ. โดยปราศจากเหตุอันสมควร ระหว่างที่พาเด็กหญิง ข. ไปพักในที่ต่าง ๆ จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิง ข. อันเป็นการกระทำอนาจารด้วย แม้ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ข. จะมีอายุ 13 ปี แต่เด็กหญิง ข. มีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเด็กปกติทั่วไปจนจำเลยสำคัญผิดว่ามีอายุ 17 ปี จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6419/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้สำคัญผิดในอายุ แต่ยังถือว่าเป็นการพราก
เด็กหญิงข.หลบหนีออกจากบ้านเพียงไปดูภาพยนตร์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านที่อยู่ เมื่อภาพยนตร์เลิกแล้วก็คงกลับบ้านหากไม่ถูกจำเลยพาไป อำนาจในการปกครองดูแลของ จ. ผู้ปกครองดูแลจึงหาได้สิ้นสุดลงไม่ จำเลยพาเด็กหญิงข.ไปอยู่ที่อื่นหลายวันและได้กระทำชำเราเด็กหญิง ข. หลายครั้ง ถือว่าเป็นการพรากเด็กหญิงข. ออกจากจ. โดยปราศจากเหตุอันสมควรและเป็นการกระทำอนาจารด้วยแม้ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ข. อายุ 13 ปี แต่มีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเด็กปกติทั่วไปตามสายตาของบุคคลภายนอกจะประมาณว่ามีอายุประมาณ17 ถึง 18 ปี ซึ่งจำเลยก็สำคัญผิดเช่นนั้น จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6419/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร แม้สำคัญผิดในอายุ แต่ยังคงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์
การที่เด็กหญิง ข.หลบหนีออกจากบ้านเพียงไปดูภาพยนตร์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านที่อยู่ เมื่อภาพยนต์เลิกแล้วก็คงกลับบ้านหากไม่ถูกจำเลยพาไป อำนาจในการปกครองดูแลของ จ. หาได้สิ้นสุดลงไม่ การที่จำเลยพาเด็กหญิง ข.ไปอยู่ที่อื่นหลายวันถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กหญิง ข. ออกจาก จ.โดยปราศจากเหตุอันสมควร ระหว่างที่พาเด็กหญิง ข.ไปพักในที่ต่าง ๆ จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิง ข. อันเป็นการกระทำอนาจารด้วย แม้ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ข. จะมีอายุ 13 ปี แต่เด็กหญิง ข.มีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเด็กปกติทั่วไปจนจำเลยสำคัญผิดว่ามีอายุ 17 ปี จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ ตาม ป.อ.มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจารตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาเหนือคดีฎีกา: คำสั่งศาลชั้นต้นหลังรับฎีกาขัดต่อดุลพินิจศาลฎีกา
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฏีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจ จึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจหน้าที่ศาลฎีกาหลังรับฎีกา: ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งทิ้งฎีกา
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์แล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการแทนได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องโจทก์ภายหลังจากที่มีคำสั่งรับฎีกาแล้วว่าโจทก์ทิ้งฎีกา จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลฎีกา ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ เป็นคำสั่งไม่ชอบคำสั่งรับอุทธรณ์โจทก์ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผลจากคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งไม่ชอบเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ฟังว่า โจทก์จงใจทิ้งฎีกาเป็นคำสั่งสืบเนื่องมาจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยปราศจากอำนาจจึงถือว่าเป็นคำพิพากษาที่มิชอบ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวได้รับวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวมาโดยชอบของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 คดีนี้โจทก์มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โดยโจทก์ยื่นคำร้องถึงเหตุดังกล่าวว่าหลงลืม ซึ่งถือได้ว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6274/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินกรรมสิทธิ์รวมที่มิได้มีคู่สัญญาเป็นเจ้าของร่วม ผลกระทบต่อสิทธิเจ้าของร่วม
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว.โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6274/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมไม่ยินยอม สัญญาไม่ผูกพันผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม และศาลไม่อาจบังคับให้โอนกรรมสิทธิ์ได้
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้เนื้อที่ 8 ไร่ จากจำเลย โดย ว. ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าวมิได้เป็นคู่สัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และมิได้ให้ความยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศใต้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพัน ว. โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีโดยให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เป็นผลให้กระทบกระเทือนกรรมสิทธิ์ส่วนของ ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและมิได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยไม่ได้