พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านผลการเลือกตั้งต้องยื่นภายใน 15 วัน มิฉะนั้นขาดสิทธิ
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 57 ผู้สมัครจะคัดค้านการประกาศผลของการเลือกตั้งจะต้องดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วันนับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดคัดค้านการประกาศผลการเลือกตั้งเข้ามาในคดี เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่เทศบาลประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ผู้ร้องสอดย่อมไม่มีสิทธิที่จะคัดค้านการประกาศผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาเทศบาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านผลเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลต้องยื่นภายใน 15 วันตามกฎหมายเฉพาะ แม้เข้าเป็นคู่ความร่วมก็ไม่ช่วย
พระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 57 ผู้สมัครที่จะคัดค้านการประกาศผลของการเลือกตั้งจะต้องดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง ฉะนั้น เมื่อผู้ร้องสอดทั้งสามยื่นคำร้องสอดคัดค้านการประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อพ้นกำหนด15 วัน นับแต่วันที่เทศบาลประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ผู้ร้องสอดทั้งสามจึงไม่มีสิทธิที่จะคัดค้านการประกาศผลดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาทจากการโฆษณา: การใส่ความให้เสียชื่อเสียงทางการเงินและความน่าเชื่อถือ
เมื่ออ่านข้อความที่ลงพิมพ์โฆษณาโดยตลอดแล้ว ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสองมีฐานะทางการเงินไม่น่าไว้วางใจปราศจากความน่าเชื่อถือ โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการเป็นประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป มิใช่เป็นการเขียนข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจด้วยความเป็นธรรม จึงเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสองโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ในความผิดฐานหมิ่นประมาทเมื่อจำเลยมีความผิดตามมาตรา 328 แล้วไม่จำต้องยกมาตรา 326 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา: ข้อความสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ ถือเป็นความผิด แม้ผู้กระทำจะอ้างการแสดงความคิดเห็น
ข้อความที่ลงพิมพ์โฆษณามีหัวข้อข่าวว่า "โรงแรมพ่นพิษใส่บีโอไอถ่วงวางเงินค้ำประกัน"และมีเนื้อข่าวว่า"กลุ่มแอมเทลของนายชวลิตทั่งสัมพันธ์ (คือโจทก์ที่ 2) ใช้วิธีหน่วงจ่ายโรงแรมที่อนุมัติรุ่นเดียวกับโรงแรมเอราวัณมีอีก 3 แห่ง แต่เป็นเจ้าของเดียวกันคือ นายชวลิตทั่งสัมพันธ์ เจ้าของเครือโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซึ่งครบกำหนดวางเงินค้ำประกันเช่นกันแต่ไม่มีการวางเงิน เพราะก่อนหน้านี้ บีโอไอ แจ้งมติส่งเสริมการลงทุนพร้อมเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ไปให้กำหนดให้ตอบรับหรือไม่รับมติใน1 เดือน แต่ช่วงนั้นนายชวลิตทำเรื่องมายังบีโอไอ ขอเพิ่มสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้ตามช่องของกฎระเบียบ บีโอไอ ที่เปิดไว้กรณีผู้รับส่งเสริมไม่พอใจสิทธิประโยชน์ สามารถเสนอขอแก้ไขส่วนจะได้หรือไม่อยู่ที่ บีโอไอตัดสินดังนั้นบีโอไอจึงเตรียมออกหนังสือแจ้งให้นายชวลิตทราบมติ ถ้ารับได้ต้องวางเงินประกันใน 60 วัน คราวนี้ไม่มาอีกจะตัดสิทธิทันที "ข้อความดังกล่าวเมื่ออ่านโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีฐานะทางการเงินไม่น่าไว้วางใจ ปราศจากความน่าเชื่อถือ โจทก์ที่ 2เป็นผู้ที่ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ในขณะที่ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนรายอื่นได้ปฏิบัติแล้ว เป็นประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากประชาชนโดยทั่วไป ทั้งมิใช่เป็นการเขียนข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจด้วยความเป็นธรรม เมื่อจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 326 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอ และการพิสูจน์หลักฐานการกู้ยืมเงิน โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและสภาพสัญญา
จำเลยฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์รับเงินที่จำเลยกู้มาจำนวน16,000 บาทคืน และส่งมอบที่นาจำนวน 22 ไร่คืนแก่จำเลยเท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบหลักฐานเกี่ยวกับที่นาดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยด้วยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1377-1378/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ: ประกาศสงวนที่ดินย้อนหลังมีผลผูกพัน แม้ไม่มีพระราชกฤษฎีกา
การที่ทางราชการอำเภอจันทึกได้ประกาศสงวนหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้เพื่อใช้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478 นั้นแม้ในภายหลังได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ซึ่ง มาตรา 4 และ มาตรา 5 บัญญัติว่าการหวงห้ามที่ดินดังกล่าวต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ก็หามีผลลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประกาศดังกล่าวอยู่ก่อนแล้วไม่ ประกาศของอำเภอจันทึกลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478 มีข้อความตอนท้ายของประกาศยกเว้นมิให้ที่ดินที่เป็นสิทธิของราษฎรอยู่ก่อนแล้วกลายสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประกาศ ดังกล่าว ผู้โอนขายที่พิพาทแก่โจทก์ ที่ 1 ได้ที่พิพาทมาโดยการจับจอง เมื่อ พ.ศ. 2493 ส่วน โจทก์ ที่ 2 ได้ที่พิพาทมาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ. 2497 ที่พิพาททั้งสองแปลงมิได้เป็นสิทธิของราษฎรซึ่ง มีมาตั้งแต่ก่อนทางราชการได้ประกาศสงวนที่ดินใน พ.ศ. 2478 จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า, ฆ่าผู้อื่น, และมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาชั้นต้นและอุทธรณ์
คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกตลอดชีวิต โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยที่ 2ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1318/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การประกาศสงวนที่ดินย้อนหลังมีผลผูกพันหรือไม่ และสิทธิการครอบครองก่อนประกาศ
การที่ทางราชการอำเภอจันทึกได้ประการสงวนหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้เพื่อใช้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478 นั้น แม้ในภายหลังได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ซึ่งมาตรา 4 และมาตรา 5 บัญญัติว่าการหวงห้ามที่ดินดังกล่าวต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ก็หามีผลลบล้างถึงที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประกาศดังกล่าวอยู่ก่อนแล้วไม่ ประกาศของอำเภอจันทึกลงวันที่ 30 ตุลาคม 2478 มีข้อความตอนท้ายของประกาศยกเว้นมิให้ที่ดินที่เป็นสิทธิของราษฎรอยู่ก่อนแล้วกลายสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประกาศดังกล่าว ผู้โอนขายที่พิพาทแก่โจทก์ที่ 1 ได้ที่พิพาทมาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ. 2493ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้ที่พิพาทมาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ. 2497ที่พิพาททั้งสองแปลงมิได้เป็นสิทธิของราษฎรซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อนทางราชการได้ประกาศสงวนที่ดินใน พ.ศ. 2478 จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความในชั้นสอบสวนและศาล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำเบิกความต่อศาลมีเหตุผลน่าเชื่อถือกว่า แม้จะขัดแย้งกับคำให้การเดิม
เมื่อคำเบิกความของจำเลยในการพิจารณาคดีต่อศาลน่าจะเป็นความจริงทั้งจำเลยเบิกความดังกล่าว โจทก์ก็ได้ให้จำเลยดูคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว จำเลยได้ยืนยันว่า คำให้การดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง ความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความต่อศาลแม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนในคดีอาญาดังกล่าวมาเบิกความรับรองว่าจำเลยได้ให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ เมื่อจำเลยได้เบิกความต่อศาลโดยมีเหตุผลประกอบน่าเชื่อว่าเป็นความจริง จึงไม่อาจที่จะรับฟังว่าจำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้นส่วนตัว ศาลเชื่อพยานหลักฐานและคำรับสารภาพ
เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานแต่พยานพฤติเหตุแวดล้อมของโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่ารู้จักจำเลยและยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจเชื่อว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง จำเลยเคยกล่าวอาฆาตว่าจะยิงผู้ตายด้วยเหตุโกรธที่ผู้ตายไปลวนลามภริยาจำเลย แม้ผู้ตายจะออกไปจากหมู่บ้านบวชเป็นพระภิกษุแล้วลาสิกขาบทกลับมาจำเลยยังพูดว่าจะต้องยิงผู้ตาย การที่จำเลยใช้ผู้อื่นไปยืมอาวุธปืนและก่อนเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทะเลาะกับผู้ตายแสดงว่าจำเลยได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ล่วงหน้าแล้ว