คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุระ หวังอ้อมกลาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 897 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์-ฎีกา คดีเช่า: จำเลยไม่ได้โต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่า ซึ่งมีค่าเช่าเดือนละ350 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้แย้งในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญา หรือยกข้อโต้แย้งในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามข้อตกลงท้าคดี: การสาบานต่อหน้าวัด และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่า ถ้าโจทก์ทั้งสามและ ผ. ยอมสาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดที่กำหนด จำเลยยอมแพ้คดี ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณานัดสาบานไว้สองวัน แต่มิได้กำหนดว่าต้องสาบานให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวัน อันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากที่กำหนด โดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ เพราะข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ เมื่อโจทก์ทั้งสามและ ผ.ได้สาบานต่อหน้าวัดจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้ว ถือว่าฝ่ายโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำท้าสาบาน: การพิสูจน์ความครบถ้วนและการอนุญาตเลื่อนนัด
ตามรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้จดวันนัดสาบานไว้สองวันแต่มิได้กำหนดว่าจะต้องทำให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวันนั้นอันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน ข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากวันที่กำหนดโดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ ไม่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่ามีข้อตกลงจะต้องสาบานตามประเพณีท้องถิ่นคือโจทก์นำสาบานและให้เจ้าอาวาสเป็นผู้ทำพิธี และดื่ม น้ำสาบาน ข้อตกลงท้ากันมีเพียงว่าให้สาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้ไปสาบานต่อหน้าวัดจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้วถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินเดิมของภริยาและการทำพินัยกรรมยกทรัพย์สิน
เอกสารที่โจทก์แนบมาพร้อมฎีกา โดยมิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานเป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 88 ศาลฎีกาไม่รับฟัง โจทก์จำเลยเป็นบุตร นาย ป. และนาง ช. ซึ่งสมรสกันก่อนใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 พ.ศ. 2477 นาย ป. ถึงแก่กรรมก่อน นาง ช.แม้ นาย ป. จะถึงแก่กรรมขณะที่ ป.พ.พ. บรรพ 5 พ.ศ. 2477 ใช้บังคับก็ตามแต่การแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยามิใช่ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรสนั้น จึงต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 คือให้คืนสินเดิมแก่แต่ละฝ่าย ดังนั้น เมื่อที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ นาง ช. มีมาก่อนสมรส อันเป็นสินเดิมของ นาง ช.จึงต้องคืนแก่นางช. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวย่อมมีสิทธิทำพินัยกรรมยกให้แก่จำเลยได้ พินัยกรรมในส่วนที่พิพาทจึงมีผลสมบูรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินเดิมของภริยาและสิทธิทำพินัยกรรม: ศาลยืนตามพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุตร
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน บิดามารดาโจทก์จำเลยสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แม้บิดาโจทก์จำเลยจะถึงแก่กรรม ขณะที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2477ใช้บังคับการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาก็ต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 คือให้คืนสินเดิมแก่แต่ละฝ่ายที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่มารดามีมาก่อนแต่งงานกับบิดาจึงเป็นสินเดิมของมารดา มารดาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวย่อมมีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้จำเลยได้ พินัยกรรมในส่วนที่ดินพิพาทจึงมีผลสมบูรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง พยานหลักฐานสนับสนุนคำเบิกความผู้เสียหายเพียงพอให้ลงโทษได้
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยคนหนึ่งกับมี ป.น.จ. และ ช. เป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีโดยป. เบิกความสนับสนุนว่าเมื่อ ป. ให้เสียงเพื่อให้คนร้ายหนีก็เห็นจำเลยวิ่งออกจากที่เกิดเหตุไป ขณะ ป.ช่วยสวมเสื้อผ้าให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเป็นคนร้าย ส่วน น.จ. และ ช. เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า ในคืนนั้นหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้าย ประกอบกับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยฟังเจือสมกับคำเบิกความของผู้เสียหายด้วย ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามชิงทรัพย์และเรียกค่าไถ่: พยานหลักฐานมั่นคง, ข้ออ้างจำเลยไม่มีน้ำหนัก
จำเลยทั้งสองได้สมคบวางแผนกับ ส. จะจับผู้เสียหายเพื่อบังคับให้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้จำเลยทั้งสองแล้วจะฆ่าผู้เสียหายเสีย ส. ไม่ตกลงจึงแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายไปแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจแล้ววางแผนจับกุมจำเลยทั้งสอง ในวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายขับรถออกไปยังไม่พ้นประตูบ้าน จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปที่ประตูรถด้านคนขับ รถหยุด จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายซึ่งเป็นคนขับรถดังกล่าวแล้วจำเลยที่ 2 ก็เข้ามาใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งแอบซุ่มอยู่ได้เข้าทำการจับกุม จำเลยทั้งสองได้ตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน ยึดได้อาวุธปืน 1 กระบอก กระสุนปืน 5 นัด กุญแจมือ 1 คู่ แผนที่บ้านผู้เสียหายซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ปรากฏอยู่ กระดาษตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้เสียหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์และฐานพยายามเรียกค่าไถ่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามชิงทรัพย์และเรียกค่าไถ่: พยานหลักฐานมั่นคงรับฟังได้ถึงเจตนาลงมือกระทำผิด
จำเลยทั้งสองได้สมคบวางแผนกับ ส.จะจับผู้เสียหายเพื่อบังคับให้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้จำเลยทั้งสองแล้วจะฆ่าผู้เสียหายเสีย ส.ไม่ตกลงจึงแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายไปแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจแล้ววางแผนจับกุมจำเลยทั้งสอง ในวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายขับรถออกไปยังไม่พ้นประตูบ้าน จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปที่ประตูรถด้านคนขับ รถหยุด จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายซึ่งเป็นคนขับรถดังกล่าวแล้วจำเลยที่ 2 ก็เข้ามาใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งแอบซุ่มอยู่ได้เข้าทำการจับกุม จำเลยทั้งสองได้ตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน ยึดได้อาวุธปืน 1 กระบอก กระสุนปืน 5 นัดกุญแจมือ 1 คู่ แผนที่บ้านผู้เสียหายซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ปรากฏอยู่ กระดาษตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้เสียหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ และฐานพยายามเรียกค่าไถ่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส และการพิจารณาเจตนาในการกระทำผิดหลายกรรม
จำเลยมีความโกรธแค้น ล. และผูกใจเจ็บ เมื่อมาพบ ล. นอนอยู่ไม่ทันรู้ตัวก็ถือโอกาสเข้าทำร้าย พ. จะเข้าไปห้ามก็ถูกจำเลยชกต่อย แสดงว่าจำเลยเพิ่งมีเจตนาเกิดขึ้นในภายหลังต่างเจตนากันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ล. ถูกชกและเตะที่บริเวณใบหน้า ดั้งจมูกหักและบวมต้องใช้เวลารักษาประมาณ 1 เดือน ทั้งหลังเกิดเหตุประมาณ 9 เดือน ก็ยังต้องหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียว เมื่อทำงานหนักจะมีอาการปวดศีรษะหัวคิ้วและขมับ ถือได้ว่าป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันเป็นอันตรายแก่กายถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัสและทำร้ายผู้อื่นที่เข้าห้าม ถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยมีความโกรธแค้น ล. และผูกใจเจ็บ เมื่อมาพบ ล. นอนอยู่ไม่ทันรู้ตัวก็ถือโอกาสเข้าทำร้าย พ. จะเข้าไปห้ามก็ถูกจำเลยชกต่อย แสดงว่าจำเลยเพิ่งมีเจตนาเกิดขึ้นในภายหลังต่างเจตนากันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ล. ถูกชกและเตะที่บริเวณใบหน้า ดั้งจมูกหักและบวมต้องใช้เวลารักษาประมาณ 1 เดือน ทั้งหลังเกิดเหตุประมาณ 9 เดือน ก็ยังต้องหายใจด้วยรูจมูกข้างเดียว เมื่อทำงานหนักจะมีอาการปวดศีรษะหัวคิ้วและขมับ ถือได้ว่าป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันเป็นอันตรายแก่กายถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
of 90