คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จิระ บุญพจนสุนทร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 531 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกรรมการบริษัทจำกัดเมื่อจำนวนกรรมการไม่ครบตามข้อบังคับ และการทำกิจการบริษัท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโดยอ้างเหตุว่ากรรมการผู้มีอำนาจฝ่ายหนึ่งได้ลาออกเป็นเหตุให้กรรมการที่เหลือไม่สามารถทำกิจการของบริษัทได้ตามข้อบังคับเหตุที่ผู้ร้องอ้างดังกล่าวเป็นกรณีที่จำนวนกรรมการลดน้อยลงกว่าจำนวนอันจำเป็นที่จะเป็นองค์ประชุมได้จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1159กรรมการที่มีตัวอยู่คือผู้ร้องย่อมทำกิจการได้เฉพาะแต่ในเรื่องที่จะเพิ่มกรรมการขึ้นให้ครบจำนวนหรือนัดเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทเท่านั้นจะทำกิจการอย่างอื่นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเตรียมการฟ้องคดีโดยเจตนาหลีกเลี่ยงให้จำเลยไม่ทราบ และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ในการฟ้องคดีก่อนจำเลยเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้อง แม้แต่ชื่อของโจทก์ก็ระบุไม่ตรงกับชื่อและนามสกุลของโจทก์ หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยนำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทั้ง ๆ ที่ชื่อและนามสกุลของโจทก์ไม่ตรงกับชื่อของโจทก์ที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ถือว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420 โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท โดยขณะที่จำเลยยื่นฟ้องนั้น โจทก์ไม่เคยมีภูมิลำเนาและไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง ในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่โจทก์ แม้บุคคลที่อยู่ในบ้านจะแจ้งว่าไม่มีคนชื่อเดียวกับโจทก์อยู่ในบ้านดังกล่าว จำเลยก็แถลงยืนยันว่าโจทก์มีภูมิลำเนาตามฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาล แสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้อง นอกจากนี้ชื่อโจทก์ที่ระบุในคำฟ้องก็ไม่ตรงกับชื่อโจทก์ที่แท้จริง ทำให้โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา หลังจากศาลพิพากษาแล้ว จำเลยได้นำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลย ทั้ง ๆ ที่ชื่อโจทก์ในคดีที่จำเลยฟ้องไม่ตรงกับชื่อในโฉนดที่ดิน พฤติการณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420 ดังนั้น การได้ที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการได้ไปโดยกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินจากการฟ้องคดีโดยจำเลยจงใจทำให้โจทก์ไม่ทราบ และข้อมูลไม่ตรงกัน
โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทโดยขณะที่จำเลยยื่นฟ้องนั้นโจทก์ไม่เคยมีภูมิลำเนาและไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้องในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่โจทก์แม้บุคคลที่อยู่ในบ้านจะแจ้งว่าไม่มีคนชื่อเดียวกับโจทก์อยู่ในบ้านดังกล่าวจำเลยก็แถลงยืนยันว่าโจทก์มีภูมิลำเนาตามฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาลแสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาลแสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้องนอกจากนี้ชื่อโจทก์ที่ระบุในคำฟ้องก็ไม่ตรงกับชื่อโจทก์ที่แท้จริงทำให้โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหลังจากศาลพิพากษาแล้วจำเลยได้นำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยทั้งๆที่ชื่อโจทก์ในคดีที่จำเลยฟ้องไม่ตรงกับชื่อในโฉนดที่ดินพฤติการณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา420ดังนั้นการได้ที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการได้ไปโดยกระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเลื่อนการพิจารณาคดีซ้ำๆ และการไม่แสดงเหตุผลอันสมควร ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตให้เลื่อนได้
ข้อความที่โจทก์กล่าวมาในฎีกาเป็นไปในทำนองเดียวกับที่จำเลยกล่าวไว้ในอุทธรณ์อันเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้วข้อความที่โจทก์กล่าวมาดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบอย่างไรและที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ขอเลื่อนการพิจารณาโดยขาดเหตุผลอันสมควรหลายครั้งหลายหนทั้งในการขอเลื่อนการพิจารณาเมื่อวันที่15มิถุนายน2532โจทก์ก็ไม่ได้อ้างและแสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ประวิงคดีให้ชัดช้าและไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาอีกจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา40วรรคหนึ่งแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – ประวิงคดี – ไม่อนุญาตเลื่อน
ข้อความที่โจทก์กล่าวมาในฎีกาเป็นไปในทำนองเดียวกับที่จำเลยกล่าวไว้ในอุทธรณ์อันเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว ข้อความที่โจทก์กล่าวมาดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบอย่างไร และที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ขอเลื่อนการพิจารณาโดยขาดเหตุผลอันสมควรหลายครั้งหลายหน ทั้งในการขอเลื่อนการพิจารณาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2532 โจทก์ก็ไม่ได้อ้างและแสดงให้เป็นที่พอใจของศาลได้ว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ประวิงคดีให้ชักช้าและไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาอีก จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการคุมประพฤติและการเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกรอการลงโทษเป็นไม่รอการลงโทษเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือนและปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 จำเลยไม่ไปรายงานตัวตามกำหนด ศาลชั้นต้นยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากการรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์-ภาค 3 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522มาตรา 17 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการจุดไฟเผาป่าโดยประมาท ทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย
พยานโจทก์เบิกความประกอบกันรับฟังได้ว่าลูกจ้างของจำเลยจุดไฟเผากองไม้ในที่ดินของจำเลยโดยจำเลยยืนสั่งการกำกับการเผาอยู่อย่างใกล้ชิดถือว่าจำเลยร่วมจุดไฟเผากองไม้ด้วยเมื่อไม่อาจกันไม่ให้ไฟลุกลามไปติดที่ข้างเคียงได้เป็นเหตุให้ไฟลุกลามไหม้ทรัพย์ของโจทก์ร่วมทั้งสี่จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสงสัยในคำรับสารภาพและพยานหลักฐานที่ไม่เชื่อมโยงกัน ศาลฎีกายกฟ้องคดีรับของโจร
แม้ พ. จะเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าได้ซื้อยางจากจำเลยอันมีลักษณะตรงกับรหัสพิเศษของยางที่ถูกคนร้ายลักไปแต่ พ.ก็มีฐานะเป็นผู้ต้องหาเช่นเดียวกับจำเลยในตอนแรกแต่ต่อมาภายหลังได้มีคำสั่งไม่ฟ้องจึงเป็นพิรุธชวนสงสัยเพราะมีลักษณะเป็นการซัดทอดความผิดให้จำเลยอีกทั้งพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบมิได้เชื่อมโยงให้กระชับจึงไม่อาจยันจำเลยได้ว่าจำเลยได้ขายยางที่ถูกคนร้ายลักไปให้แก่ พ. พยานหลักฐานโจทก์เหลือเพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนซึ่งเมื่อขัดแย้งกับบันทึกสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาที่เจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้ทำขึ้นโดยมีข้อความระบุชัดแจ้งว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อหาจึงเป็นข้อพิรุธว่าจำเลยอาจมิได้รับสารภาพจริงดังที่จำเลยต่อสู้พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยอาจมิได้กระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9342/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คืนของหมั้นสินสอดต้องห้ามตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง
อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้คืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง เพราะว่าไม่มีการหมั้น อีกทั้งไม่มีเหตุที่ต้องคืนสินสอดให้แก่โจทก์ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องคืนของหมั้นและสินสอดเป็นเงินรวม 41,250 บาท แก่โจทก์เป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่ามีการหมั้น และ จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นต้องคืนของหมั้นและสินสอด แก่โจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท อีกทั้งมิได้เป็นคดีที่ เกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
of 54