คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จิระ บุญพจนสุนทร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 531 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: สิทธิเรียกร้องค่ามัดจำต้องพิสูจน์ความผูกพันของหนี้ก่อนนำเช็คไปเรียกเก็บ
เช็คพิพาทเป็นเช็คค่ามัดจำการซื้อขายที่ดิน เมื่อข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนของโจทก์ไม่ได้ความว่า โจทก์มีสิทธิจัดเอาเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้บางส่วนหรือเป็นการริบมัดจำ ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความผูกพันหรือมีหนี้ที่มีอยู่จริงที่จะต้องใช้เงินตามเช็คคดีของโจทก์จึงไม่มีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1389/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คค่ามัดจำซื้อขายที่ดิน: สิทธิเรียกร้องต้องมีฐานสัญญาที่ยังผูกพันอยู่ จึงจะบังคับใช้เช็คได้
เช็คพิพาทเป็นเช็คค่ามัดจำการซื้อขายที่ดินซึ่งจำเลยเป็นผู้ซื้อและสั่งจ่ายให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขาย และโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแล้วถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่าย แต่เมื่อไม่ได้ความว่า หลังจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินแล้วสัญญาซื้อขายยังคงมีอยู่ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย หรือฝ่ายใดปฏิบัติผิดสัญญาไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีสิทธิจัดเอาเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้บางส่วน หรือเป็นการริบมัดจำเพราะโจทก์อาจต้องคืนเช็คพิพาทตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 จำเลยจึงไม่มีความผูกพันหรือมีหนี้ที่มีอยู่จริงที่จะต้องใช้เงินตามเช็คคดีของโจทก์จึงไม่มีมูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1302/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่างประเทศ: การแจ้งเป็นหนังสือตามอนุสัญญากรุงเบอร์ลิน และผลต่อการคุ้มครองลิขสิทธิ์ฮ่องกงในไทย
ประเทศภาคีแห่งอนุสัญญากรรมสารกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1908และภาคีโปรโตคลเพิ่มเติม กรุงเบอร์น ค.ศ. 1914 ต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อรัฐบาลแห่งสมาพันธรัฐสวิส และให้รัฐบาลแห่งสมาพันธรัฐสวิสแจ้งให้ประเทศที่เป็นสมาชิกแห่งสันนิบาตประเทศอื่น ๆ ทราบ เกี่ยวดินแดนของประเทศที่จะให้ได้รับความคุ้มครองตามข้อตกลง การที่ประเทศสหราชอาณาจักรประกาศให้ฮ่องกงเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว โดยไม่ปรากฏว่าได้แจ้งเป็นหนังสือไปให้รัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสทราบและสมาพันธรัฐสวิสได้แจ้งการประกาศของประเทศสหราชอาณาจักรให้ดินแดนฮ่องกงเข้าเป็นภาคีแห่งกรรมสารกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1908 ไปให้ประเทศในภาคีรวมทั้งประเทศไทยทราบ การประกาศของประเทศสหราชอาณาจักรดังกล่าวไม่อาจฟังได้ว่าฮ่องกงมีฐานะเป็นภาคีตามบทบัญญัติของกรรมสารกรุงเบอร์ลิน ค.ศ. 1908 มาตรา 26 วรรคท้าย ประเทศไทยก็ไม่ต้องให้ความคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ของฮ่องกงตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 42

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร
จำเลยเป็นเจ้าของอาคารที่ได้ปลูกสร้างมาก่อนข้อบัญญัติกรุงเทพ-มหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 ออกใช้บังคับโดยมีแนวอาคารและระยะขัดกับข้อบัญญัติดังกล่าว ต่อมาจำเลยได้ขออนุญาตต่อโจทก์เมื่อวันที่ 18มีนาคม 2530 เพื่อทำการซ่อมแซมอาคารดังกล่าวโจทก์อนุญาต หลังจากนั้นจำเลยได้ทำการดัดแปลงต่อเติมอาคารนอกเหนือไปจากแบบแปลนที่ได้ขออนุญาตไว้ โดยต่อเติมด้านหลังอาคารซึ่งเดิมเป็นชั้นเดียวให้เป็นสองชั้น และมีชั้นดาดฟ้าด้วยการสร้างฐานราก เสาตอหม้อ คานคอดิน คานชั้นสอง คานรับดาดฟ้า หลังคา ขยายพื้นชั้นสองขนาดประมาณ 24.86 ตารางเมตร ต่อเติมพื้นชั้นดาดฟ้าขนาดประมาณ 18.48ตารางเมตร เพิ่มหลังคามุมห้องบันได สร้างผนังอิฐกั้นห้องชั้นสอง ซึ่งการดัดแปลงต่อเติมดังกล่าวได้สร้างปิดทางเดินด้านหลังอาคาร สภาพและลักษณะของการต่อเติมและขยายอาคารของจำเลยดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมหรือดัดแปลงเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม แต่เป็นการดัดแปลงอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 22 เดิม,31 เดิม และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522ข้อ 30, 76, 83 และเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อ-บัญญัติได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อเติมอาคารเกินแบบที่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมอาคาร
จำเลยเป็นเจ้าของอาคารที่ได้ปลูกสร้างมาก่อนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ออกใช้บังคับโดยมีแนวอาคารและระยะขัดกับข้อบัญญัติดังกล่าว ต่อมาจำเลยได้ขออนุญาตต่อโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2530 เพื่อทำการซ่อมแซมอาคารดังกล่าวโจทก์อนุญาต หลังจากนั้นจำเลยได้ทำการดัดแปลงต่อเติมอาคารนอกเหนือไปจากแบบแปลนที่ได้ขออนุญาตไว้ โดยต่อเติมด้านหลังอาคารซึ่งเดิมเป็นชั้นเดียวให้เป็นสองชั้น และมีชั้นดาดฟ้าด้วยการสร้างฐานราก เสาตอหม้อ คานคอดิน คานชั้นสอง คานรับดาดฟ้า หลังคาขยายพื้นชั้นสองขนาดประมาณ 24.86 ตารางเมตร ต่อเติมพื้นชั้นดาดฟ้าขนาดประมาณ 18.48 ตารางเมตร เพิ่มหลังคามุมห้องบันได สร้างผนังอิฐกั้นห้องชั้นสอง ซึ่งการดัดแปลงต่อเติมดังกล่าวได้สร้างปิดทางเดินด้านหลังอาคาร สภาพและลักษณะของการต่อเติมและขยายอาคารของจำเลยดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมหรือดัดแปลงเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม แต่เป็นการดัดแปลงอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 22 เดิม,31 เดิม และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 30,76,83 และเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่มีมูลหนี้จากการพนันสลากกินรวบเป็นโมฆะ
จำเลยรับโพยสลากกินรวบจากผู้เล่นไปส่งให้ น. แล้ว น.นำไปส่งให้โจทก์อีกต่อหนึ่ง การที่จำเลยไม่ได้นำเงินส่วนให้และโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้ เป็นสัญญากู้ที่มีมูลหนี้เกิดจากการพนันสลากกินรวบ ไม่ก่อให้เกิดหนี้อันจะเรียกร้องกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่
ขณะศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แม้บทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18ยังไม่ใช้บังคับก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฎีกาบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 80,627 บาท โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้น้อยไปขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 273,342 บาท ดังนี้ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1059/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง และการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนที่ไม่สุจริต
หลังจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทแล้วมารดาโจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลย ต่อมามารดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยที่ 1และการยกให้ที่ดินพิพาทระหว่างมารดาโจทก์กับโจทก์จะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากมารดาโจทก์เป็นเวลากว่า 20 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรโดยตามพฤติการณ์ ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 คำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์นั้นตามบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 78 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) บัญญัติไว้แล้วว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรโจทก์สามารถปฏิบัติตามและได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแต่อย่างใด จึงต้องยกคำขอในส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1059/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง และการเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินที่ไม่สุจริต
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ ท. มารดาโจทก์และ ท.ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาต่อมาท.ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้การซื้อขายที่ดินระหว่าง ท. กับจำเลยที่ 1 และการที่ ท. ยกที่ดินพิพาทต่อให้โจทก์จะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ท. เป็นเวลากว่า 20 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ตามพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 จำเลยที่ 2 ซึ่งได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทน และโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่โจทก์จะมีชื่อในโฉนดที่ดินได้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ซึ่งโจทก์สามารถที่จะปฏิบัติตาม และได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่อย่างใดศาลฎีกายกคำขอในส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1059/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์โดยครอบครอง & เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิในที่ดินที่ไม่สุจริต
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ ท. มารดาโจทก์และ ท. ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมา ท.ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้การซื้อขายที่ดินระหว่าง ท.กับจำเลยที่ 1 และการที่ ท.ยกที่ดินพิพาทต่อให้โจทก์จะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ท.เป็นเวลากว่า20 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ตามพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 จำเลยที่ 2 ซึ่งได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทน และโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 การที่โจทก์จะมีชื่อในโฉนดที่ดินได้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2497) ซึ่งโจทก์สามารถที่จะปฏิบัติตาม และได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ศาลฎีกายกคำขอในส่วนนี้
of 54