พบผลลัพธ์ทั้งหมด 531 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5414/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องการออกเช็คไม่มีมูลหนี้ การยอมความ และขอบเขตการพิจารณาคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ลงโทษปรับ10,000 บาท แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ลงโทษปรับ 4,000 บาท ก็ตาม ก็คงเป็นการปรับบทกฎหมายที่ใช้ในภายหลังในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่ามีการยอมความกันแล้ว โดยไม่วินิจฉัยปัญหาอื่น โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมายสิทธินำคดีอาญาฟ้องไม่ระงับ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยไม่ฎีกาฉะนั้นปัญหาเรื่องการยอมความจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยทั้งสองจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นอุทธรณ์อีกหาได้ไม่ เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว และจำเลยทั้งสองหามีสิทธิฎีกาต่อมาอีกไม่ แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกไม่มีมูลหนี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวเนื่องกับจำเลยที่ 2ผู้ร่วมออกเช็ค อันเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2กระทำผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงิน ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5407/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีเดิมที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่บริวาร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากที่ดิน ในฐานะเป็นบริการของ ส. เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของ ส. โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ในฐานละเมิดสิทธิในที่ดินของโจทก์ประเด็นแห่งคดีต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5382/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอมฉ้อโกงธนาคาร จำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายอาญา
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 266,341 เมื่อข้อหาใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266 ซึ่งเป็นบทหนักไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ข้อหาฉ้อโกงตามมาตรา 341ซึ่งเป็นบทที่เบากว่า จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4831/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ วันยื่นฎีกา แม้ราคาทรัพย์สินไม่เกินสองแสนบาทจะห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 8 ตุลาคม2534 ผู้คัดค้านยื่นฎีกาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2534 เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4737/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการขายทอดตลาดต้องยื่นต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น หากเห็นว่าราคาต่ำกว่าตลาด
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายแล้ว แม้เมื่อจำเลยเห็นว่าราคาที่ขายต่ำกว่าราคาในท้องตลาดมากและได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเท่ากับเป็นการอ้างว่าการบังคับคดีกระทำโดยไม่ชอบเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแล้วก็ตาม จำเลยก็จะต้องยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดต่อศาลชั้นต้นก่อนการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงแต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น จำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาโดยไม่ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นเสียก่อนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4612/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยมีทนายช่วยเหลือคดีอาญาอัตราโทษสูง แม้ศาลมิได้สอบถามก่อน แต่มีคำสั่งให้ทนายช่วยเหลือและจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมา ไม่ต้องย้อนสำนวน
เจตนารมณ์ของ ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคแรก นั้น เพื่อให้จำเลยมีทนายช่วยเหลือในการต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิตดังนั้น แม้ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชี้นต้นจะมิได้สอบถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ แต่ในวันสอบถามคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งขอแรงทนายให้จำเลย กับได้มีคำสั่งตั้งทนายที่ขอแรงไว้ก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์ และทนายจำเลยก็ได้ทำหน้าที่ตลอดมาจนถึงที่สุดโดยไม่ปรากฎว่าจำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี ทั้งจำเลยก็มิได้เปลี่ยนแปลงคำให้การของจำเลยแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยยังคงให้การรับสารภาพ จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4612/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในคดีอัตราโทษประหาร: การมีทนายช่วยเหลือ แม้ไม่มีการสอบถามก่อนเริ่มพิจารณา
เจตนารมณ์ ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 173 วรรคแรก นั้น เพื่อให้จำเลยมีทนายช่วยเหลือในการต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิต ดังนั้นแม้ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นจะมิได้สอบถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่แต่ในวันสอบถามคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งขอแรงทนายให้จำเลย กับได้มีคำสั่งตั้งทนายที่ขอแรงไว้ก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์ และทนายจำเลยก็ได้ทำหน้าที่ตลอดมาจนถึงที่สุดโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียเปรียบในเชิงคดี ทั้งจำเลยก็มิได้เปลี่ยนแปลงคำให้การของจำเลยแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยยังคงให้การรับสารภาพ จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4505/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: การกระทำที่บ่งชี้เจตนาที่ไม่สุจริตในการพาผู้เสียหายไปอยู่กินเป็นภริยา
การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษซึ่งอยู่ในความปกครองของบิดามารดาไปอาศัยคนอื่นอยู่ในที่ต่าง ๆและจำเลยมีอาชีพไม่แน่นอนพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีทางพาผู้เสียหายไปอยู่กินเป็นภริยาได้โดยปกติสุข แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ติดต่อญาติฝ่ายตนให้สู่ขอผู้เสียหายก็ตาม ก็เป็นเพียงอ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของจำเลยเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4505/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: พฤติการณ์บ่งชี้เจตนาที่ไม่ชอบธรรม แม้มีการอ้างสู่ขอ
การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุ ๑๖ ปีเศษ ซึ่งอยู่ในความปกครองของบิดามารดาไปอาศัยคนอื่นอยู่ในที่ต่าง ๆ และจำเลยมีอาชีพไม่แน่นอนพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลย ไม่มีทางพาผู้เสียหายไปอยู่กินเป็นภริยาได้โดยปกติสุข แม้จำเลย จะอ้างว่าได้ติดต่อญาติฝ่ายตนให้สู่ขอผู้เสียหายก็ตาม ก็เป็นเพียง อ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของจำเลยเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงฟ้องคดีและผลผูกพันต่อผู้ค้ำประกัน: เขตอำนาจศาลและหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้
ข้อตกลงที่ให้โจทก์ฟ้องคดีแก่จำเลยที่ 1 ผู้กู้ต่อศาลแพ่ง ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันแม้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่มิได้ตกลงในการฟ้องคดีนั้นด้วย และแม้จะเป็นหนี้ซึ่งมูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ ก็ไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 5 วรรคสอง เดิม ที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำฟ้องเพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามมาตรา 4 (2) เดิม โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 รวมมากับจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งไม่ได้