คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วินัย วิมลเศรษฐ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 776 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3555/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับอายุราชการต่อเนื่องหลังกลับเข้ารับราชการใหม่ โดยการบอกเลิกรับบำนาญยื่นพร้อมกับการขอกลับเข้ารับราชการ
การขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ของโจทก์กับการบอกเลิก รับบำนาญเป็นคนละเรื่องกัน แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ยื่นเรื่องทั้งสองพร้อมกัน ทั้งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2495 มาตรา 33 วรรคสี่และวรรคห้าก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญตั้งแต่เมื่อใด การที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่โดยไม่รอให้กรมการปกครองที่โจทก์สังกัดอยู่เดิมมีคำสั่งให้โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เสียก่อนจึงไม่ขัดต่อมาตรา 30 วรรคสี่ พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494มาตรา 30 วรรคห้า บัญญัติเพียงว่า การบอกเลิกรับบำนาญให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานส่งไปยังกระทรวงการคลังจำเลย โดยผ่านกระทรวงเจ้าสังกัด มิได้กำหนดว่าต้องยื่นต่อกองคลังในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัด การที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพภายในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการยื่นผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดแล้ว จำเลยจึงต้องนับเวลาราชการช่วงแรกของโจทก์รวมกับเวลาราชการช่วงที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เพื่อคำนวณบำนาญให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3555/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับเวลาราชการต่อเนื่องหลังลาออกและกลับเข้ารับราชการใหม่: การปฏิบัติตามมาตรา 30 พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ
แม้การขอกลับเข้ารับราชการใหม่กับการบอกเลิกรับบำนาญจะเป็นคนละเรื่องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ยื่นเรื่องทั้งสองดังกล่าวพร้อมกันทั้งตามบทบัญญัติในมาตรา30วรรคสี่และวรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการพ.ศ.2494ก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นไว้ว่าจะต้องยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญตั้งแต่เมื่อใดการที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับการยื่นหนังสือขอกลับเข้ารับราชการใหม่โดยไม่รอให้กรมเจ้าสังกัดมีคำสั่งให้โจทก์กลับเข้ารับราชการใหม่เสียก่อนก็หาขัดต่อมาตรา30วรรคสี่ไม่ มาตรา30วรรคห้าบัญญัติเพียงว่าการบอกเลิกรับบำนาญให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานส่งไปยังกระทรวงการคลังโดยผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดมิได้กำหนดว่าต้องยื่นต่อกองคลังในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดดังนั้นการที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพภายในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการยื่นผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วโจทก์จึงได้ปฏิบัติตามมาตรา30วรรคห้าแล้วจำเลยทั้งสองจึงต้องนับเวลาราชการช่วงแรกของโจทก์รวมกับเวลาช่วงที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เพื่อคำนวณบำนาญให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องอาญาที่ไม่มีมูลความผิด การกระทำเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ราชการ ไม่ถือเป็นความผิด
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องไม่ปรากฏว่าหมายเลขคดีที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่อ้างถึงเป็นหมายเลขคดีที่นอกสารบบหรือกระทำขึ้นโดยมิได้มีอยู่จริงหรือปราศจากอำนาจตรงกันข้ามเลขคดีที่อ้างถึงเป็นเลขคดีที่ได้แก้ไขและถือใช้อยู่ในสารบบของทางราชการที่เกี่ยวข้องจริงจึงเป็นหมายเลขคดีที่แท้จริงทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งเก้าปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติต่อโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุที่มีการร้องทุกข์อย่างไรอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาพ.ศ.2522มาตรา70การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา162,165,264,265,266และพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาพ.ศ.2522มาตรา70 จำเลยทั้งเก้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของทางราชการมิได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อหลักประกันการกู้ยืม ไม่ถือเป็นเช็คชำระหนี้ จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
สัญญากู้เงินมีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป190,000บาทเพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินจำเลยได้นำเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมถือไว้เป็นหลักประกันด้วยเช่นนี้มีความหมายชัดแจ้งว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ร่วมเป็นหลักประกันในการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไปมิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้แม้ตามสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมภายในวันที่ที่ลงไว้ในเช็คพิพาทก็ตามก็จะตีความว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไม่ได้จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเป็นหลักประกันการกู้ยืม ไม่ถือเป็นเช็คชำระหนี้ จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
สัญญากู้เงินมีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป190,000 บาท เพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน จำเลยได้นำเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมถือไว้เป็นหลักประกันด้วยเช่นนี้ มีความหมายชัดแจ้งว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ร่วมเป็นหลักประกันในการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้แม้ตามสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่า จำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมภายในวันที่ที่ลงไว้ในเช็คพิพาทก็ตาม ก็จะตีความว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเป็นหลักประกันกู้ยืม ไม่ถือเป็นเช็คชำระหนี้ จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
สัญญากู้เงินมีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป190,000บาทเพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินจำเลยได้นำเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมถือไว้เป็นหลักประกันด้วยเช่นนี้มีความหมายชัดแจ้งว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ร่วมเป็นหลักประกันในการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไปมิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้แม้ตามสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมภายในวันที่ที่ลงไว้ในเช็คพิพาทก็ตามก็จะตีความว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไม่ได้จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทเป็นหลักประกันการกู้ยืม ไม่ใช่เช็คชำระหนี้ จึงไม่ผิด พ.ร.บ. เช็ค
สัญญากู้เงินมีข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป 190,000บาท เพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน จำเลยได้นำเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมถือไว้เป็นหลักประกันด้วย เช่นนี้ มีความหมายชัดแจ้งว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยได้ออกให้แก่โจทก์ร่วมเป็นหลักประกันในการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมไป มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ แม้ตามสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่า จำเลยจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมภายในวันที่ที่ลงไว้ในเช็คพิพาทก็ตาม ก็จะตีความว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินและสินสมรส: ภาระการพิสูจน์ของจำเลย
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด ย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้น จำเลยอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแทนบุคคลอื่น จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์
จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาระหว่างสมรสกับโจทก์โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 วรรคสองจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส: สันนิษฐานว่าทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส จำเลยมีภาระการพิสูจน์หากอ้างว่ามิใช่
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด ย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้น จำเลยอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแทนบุคคลอื่นจำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาระหว่างสมรสกับโจทก์โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 วรรคสอง จำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2759/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส: สันนิษฐานว่าทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส จำเลยมีภาระพิสูจน์หักล้าง
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้นจำเลยอ้างว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแทนบุคคลอื่นจำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ จำเลยซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาระหว่างสมรสกับโจทก์โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1474วรรคสองจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างมิใช่สินสมรสย่อมมีภาระการพิสูจน์
of 78