คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วินัย วิมลเศรษฐ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 776 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนสิทธิเช่า และการชดใช้เงินแทน
การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านแต่มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วยเหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้ว
ขณะที่จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้ผู้คัดค้าน สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์สามารถตีราคาเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านรับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลยและย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนจึงอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ต้องมีมูลหนี้เดิม หากไม่มีมูลหนี้ เอกสารรับสภาพหนี้ก็ไม่ผูกพัน
การรับสภาพหนี้หรือแปลงหนี้ใหม่ต้องมีมูลหนี้เดิมก่อนเมื่อ ท. ไม่มีหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยทำบันทึกยอมใช้หนี้โจทก์แทน ท. ก็หาทำให้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้หรือแปลงหนี้ใหม่ไม่ ทั้งไม่ก่อให้เกิดมูลหนี้จึงไม่ผูกพันจำเลย การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารต้องเป็นการนำสืบในลักษณะที่อ้างว่ายังมีข้อเท็จจริงอย่างอื่นเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสาร การที่จำเลยนำสืบถึงเหตุผลที่จำเลยต้องลงชื่อในเอกสารเพื่อแสดงว่าไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิด จึงมิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล แม้โจทก์มิได้มาฟังคำสั่ง
โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์เซ็นชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2536 โดยหากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว เป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ยอมรับผูกพันตนเองว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 2536 ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาของโจทก์ให้รับฎีกาและให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายใน 5 วัน แม้โจทก์มิได้มาฟังคำสั่ง ก็ต้องถือว่าได้ส่งคำสั่งให้โจทก์ทราบโดยชอบ และโจทก์ทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2536 เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาภายในกำหนด
โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2536 ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์เซ็นชื่อรับทราบให้มาฟังคำสั่งในวันที่29 ตุลาคม 2536 โดยหากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ยอมรับผูกพันตนเองว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 2536ศาลชั้นต้นสั่งในฎีกาของโจทก์ให้รับฎีกาและให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายใน 5 วัน แม้โจทก์มิได้มาฟังคำสั่งก็ต้องถือว่าได้ส่งคำสั่งให้โจทก์ทราบโดยชอบ และโจทก์ทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2536 เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาในกำหนดจึงเป็นการท้องฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: ศาลฎีกาชี้ว่าฟ้องระบุรายละเอียดเพียงพอแล้ว ส่วนรายละเอียดการส่งเงินและดอกเบี้ยเป็นเรื่องของการสืบพยาน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยเป็นหัวหน้าวงแชร์ มีหน้าที่รับผิดชอบต่อลูกวงแชร์รวมทั้งโจทก์ซึ่งร่วมเล่นด้วย 1 หุ้น โดยเริ่มเล่นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2528 และลูกวงแชร์ประมูลแชร์ไปได้แล้วหลายรายในอัตราดอกเบี้ยต่างกันจนถึงเดือนกันยายน 2529 จำเลยเลิกวงแชร์โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินที่ส่งไปแล้ว 8,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากผู้ที่ประมูลแชร์ได้ก่อนหน้านี้จำนวน 2,500 บาท แก่โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินและดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าว ดังนี้ ฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดแล้วทั้งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่โจทก์ส่งแชร์ไปกี่งวด ใครเป็นผู้ประมูลได้ในแต่ละงวด และด้วยอัตราดอกเบี้ยเท่าใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาจำเป็นต้องกล่าวในฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การระบุรายละเอียดอาวุธและผู้กระทำความผิดไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้อง
ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ในคดีอาญาเคลือบคลุมหรือไม่ แม้จะมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้อาวุธมีดดาบ มีดพกปลายแหลมและเหล็กขูดชาฟท์รุมแทงฟัน ประทุษร้ายแก่ร่างกายผู้เสียหายหลายครั้ง ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะมิได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกคนใดใช้อาวุธชนิดใด และแต่ละคนกระทำการอย่างไรบ้างก็พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนการที่จำเลยกับพวกคนใดใช้อาวุธชนิดใด และแต่ละคนกระทำการอย่างไรบ้างเป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต การล่าช้าในการพิจารณาอนุญาตไม่ทำให้คำสั่งรื้อถอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 มิได้พิจารณาและออกหนังสืออนุญาตให้โจทก์ที่ 3 แก้ไขแบบแปลนและต่อเติมอาคารจาก 4 ชั้นเป็น 11 ชั้นภายในกำหนดระยะเวลา 30 วัน และกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์รื้อถอนอาคารที่สร้างโดยไม่รับอนุญาตตั้งแต่ชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 11 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นฎีกาที่ไม่มีประโยชน์ต่อรูปคดีของโจทก์และฟังไม่ขึ้น เพราะแม้กฎหมายจะกำหนดระยะเวลาไว้ แต่กฎหมายดังกล่าวก็มิได้บัญญัติให้คำสั่งหรือคำวินิจฉัยที่ล่าช้าตกเป็นเสียเปล่าหรือก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะก่อสร้างได้โดยไม่ต้องขออนุญาตแต่อย่างใดเหตุล่าช้าจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุถึงขนาดว่าคำสั่งหรือคำวินิจฉัยนั้นตกเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฎีกาว่าอาคารที่ก่อสร้างมีความมั่นคงแข็งแรง มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีเหตุที่จะรับฟังข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกอนุญาตต่อเติมอาคารล่าช้า ไม่ทำให้คำสั่งรื้อถอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 มิได้พิจารณาและออกหนังสืออนุญาตให้โจทก์ที่ 3 แก้ไขแบบแปลนและต่อเติมอาคารจาก 4 ชั้นเป็น 11 ชั้น ภายในกำหนดระยะเวลา 30 วัน และกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ภายใน30 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ คำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์รื้อถอนอาคารที่สร้างโดยไม่รับอนุญาตตั้งแต่ชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 11 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาที่ไม่มีประโยชน์ต่อรูปคดีของโจทก์และฟังไม่ขึ้น เพราะแม้กฎหมายจะกำหนดระยะเวลาไว้แต่กฎหมายดังกล่าวก็มิได้บัญญัติให้คำสั่งหรือคำวินิจฉัยที่ล่าช้าตกเป็นเสียเปล่าหรือก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะก่อสร้างได้โดยไม่ต้องขออนุญาตแต่อย่างใด เหตุล่าช้าจะเป็นจริงหรือไม่ ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุถึงขนาดว่าคำสั่งหรือคำวินิจฉัยนั้นตกเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกาว่าอาคารที่ก่อสร้างมีความมั่นคงแข็งแรง มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีเหตุที่จะรับฟังข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้บังคับคดีกับสินสมรส: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากเจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ได้สมยอมแกล้งเป็นหนี้จำเลยที่ 2 และสมยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ศาลพิพากษาตามยอม โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 2จะอ้างสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ หรือให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 2 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้แล้วแต่การยอมความเป็นเรื่องของจำเลยทั้งสอง ไม่มีผลเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1เพราะในการบังคับคดีของจำเลยที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2คงยึดทรัพย์ได้เฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488จะยึดสินสมรสส่วนของโจทก์มิได้ ถ้าจำเลยที่ 2 นำยึดโจทก์ก็ขอกันสินสมรสส่วนของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 เมื่อจำเลยที่ 2 มีสิทธิยึดสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 1ได้ตามมาตรา 1488 โจทก์จะฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ยึดสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 2 ถอนการยึดทรัพย์มิได้ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 นำยึดทรัพย์อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินส่วนตัวและสินสมรสของลูกหนี้: กรณีจำเลยที่ 2 ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์ได้สมยอมแกล้งเป็นหนี้จำเลยที่ 2 พี่สาว และสมยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 จะอ้างสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ หรือให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 2 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้แล้ว ตามคำฟ้องดังกล่าว การยอมความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเรื่องของบุคคลทั้งสองไม่มีผลเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 เลยเพราะการบังคับคดีของจำเลยที่ 2 ต่อจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 คงยึดได้เฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา1488 จะยึดสินสมรสส่วนของโจทก์ไม่ได้ ถ้านำยึดโจทก์ก็ขอกันสินสมรสส่วนของตนได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 เมื่อจำเลยที่ 2 มีสิทธิยึดสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 1ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1488 ดังกล่าวเช่นนี้ โจทก์จะฟ้องขอห้ามมิให้จำเลยที่ 2ยึดสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ เพราะจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินส่วนของจำเลยที่ 1 ได้ และที่โจทก์ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำยึดไว้นั้นเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำ-พิพากษา จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจใดที่จะขอให้จำเลยที่ 2 ถอนการยึดทรัพย์ได้ การที่จำเลยที่ 2 นำยึดทรัพย์อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
of 78