พบผลลัพธ์ทั้งหมด 776 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4905/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาข้อห้ามอุทธรณ์ในคดีอาญา ต้องพิจารณาจากอัตราโทษที่โจทก์ขอลงโทษเป็นสำคัญ ไม่ใช่โทษที่ศาลใช้
การพิจารณาว่าคดีอาญาเรื่องใดต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิหรือไม่ ย่อมต้องดูที่อัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ ส่วนอัตราโทษที่ศาลจะนำมาใช้จริง ไม่ใช่ข้อที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4712/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องทรัพย์สิน: การระบุรายละเอียดทรัพย์สินรวมๆ เพียงพอหากจำเลยเข้าใจได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพร้อมเครื่องเรือน ของใช้สำนักงาน โรงงานและเครื่องจักรต่าง ๆซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปแม้ตามคำฟ้องโจทก์จะระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์เพียงรวม ๆก็ตาม แต่ก็ได้ระบุชัดถึงชนิดและประเภทของทรัพย์ โดยยืนยันจำนวนทรัพย์ด้วยว่าทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่พิพาท ย่อมสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงทรัพย์ใดบ้าง ความเข้าใจของจำเลยนี้เห็นได้ชัดจากที่จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้อ้างเอกสารและให้รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเอง ฟ้องโจทก์จึงได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาทพอที่จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4695/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ข้อโต้แย้งเรื่องสถานที่เกิดเหตุและอำนาจสอบสวน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(3)ลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยให้จำคุก 2 เดือน มิได้แก้บทกฎหมายที่จำเลยกระทำความผิดเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาจำเลยในปัญหาเรื่องอำนาจสอบสวนนั้นเหตุที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อโต้แย้งคือ จำเลยมีพยานรู้เห็นว่าจำเลยได้มอบเช็คพิพาทให้แก่ ป. มิใช่ให้แก่โจทก์ร่วม ดังนั้น สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งอยู่ในท้องที่การสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลพญาไท หาใช่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนซึ่งเป็นท้องที่ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยตรง การร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสามเสนไม่มีอำนาจสอบสวนฎีกาจำเลยดังกล่าวนี้มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งข้อวินิจฉัยของศาลในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยตรงหรือไม่ ท้องที่เกิดเหตุเป็นท้องที่ใดเป็นหลักส่วนเรื่องอำนาจสอบสวนเป็นเพียงผลสรุปแห่งข้อโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวเท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4678/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีตามมาตรา 293 วรรคแรก ต้องมีการยึดทรัพย์สินก่อน และไม่ลิดรอนสิทธิเจ้าหนี้
โจทก์ที่ 2 มิได้ร่วมกับโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องของดการบังคับคดีไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกา การขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 วรรคแรกจะต้องมีการบังคับคดีโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ก่อนแล้วในขณะนั้น เนื่องจากวิธีการบังคับคดีที่จะงดคือการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันมิให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้รับความเสียหายจากการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินก่อนที่จะได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในคดีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นโจทก์ หาได้ให้ความคุ้มครองแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถึงขนาดลิดรอนสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิให้ดำเนินการเพื่อผลในการบังคับคดีตามคำพิพากษากับทรัพย์อื่นต่อไปไม่ คำร้องของโจทก์ที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้งดการบังคับคดีที่อาจมีต่อไปในอนาคตไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4615/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของทนายเมื่อเสมียนทนายจดวันนัดผิดพลาด ไม่เป็นเหตุสมควรให้ศาลยกคดีขึ้นไต่สวนใหม่
โจทก์ทราบวันนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เมื่อถึงกำหนดวันและเวลานัดโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า การที่โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดเป็นเพราะความบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อของเสมียนทนายโจทก์ที่จดวันนัดให้ทนายโจทก์ผิดก็ตามก็ไม่ใช่เหตุสมควรที่โจทก์มาศาลไม่ได้ตามบทบัญญัติของมาตรา 166 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4609/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ศาลยกฟ้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด
จำเลยกับผู้ร้องนั่งไปด้วยกันในรถยนต์คันของกลางและถูกจับพร้อมกันในข้อหาทำไม้และมีไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ผู้ร้องหลบหนีในขณะที่ถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดีที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดกับจำเลย ก็ปรากฏว่าเป็นการยกฟ้องเพราะมีเหตุสงสัยว่าผู้ร้องอาจจะไม่ได้ร่วมกระทำความผิดเท่านั้น มิใช่เหตุผลที่จะแสดงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4540/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานนอกกำหนด – ผลกระทบต่อความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี
จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน แต่เพิ่งมายื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จและศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาแล้ว โจทก์ย่อมไม่ทราบถึงพยานหลักฐานของจำเลยว่ามีอย่างไรก่อนที่จะสืบพยานของตน เป็นการเสียเปรียบในทางคดีคำร้อง ของ จำเลยก็อ้างเพียงว่าเพราะทนายจำเลยลืมยื่นบัญชีระบุพยานมิได้อ้างเหตุอันสมควรว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานมาสืบหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88วรรคสาม จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานได้ ความยุติธรรมนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายมิใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว การที่จะอ้างว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แล้วอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานจะกลายเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4434/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวตั้งแต่ชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์ว่า นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2525ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 18 ต่อปี แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้โดยให้การเพียงว่ากรณีผิดนัดโจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4434/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย การยกข้ออ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ว่า นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2525 ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 18 ต่อปี แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ โดยให้การเพียงว่ากรณีผิดนัดโจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4354/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีหนี้จากกิจการเงินทุน: การตีความวัตถุประสงค์บริษัทและการกระทำที่เข้าข่าย
การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิในการเรียกร้องเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนที่ได้ดำเนินการไว้ตั้งแต่โจทก์ยังไม่ได้ถูกระงับใบอนุญาต มิใช่เป็นการประกอบกิจการเงินทุนขึ้นใหม่ภายหลังโจทก์ถูกระงับใบอนุญาต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนระบุวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเภท "เงินทุน" ในเมืองฮ่องกง ซึ่งปกติคำว่า "เงินทุน" มีความหมายมิได้จำกัดเพียงการกู้ยืมหรือรับฝากเงินเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า คำดังกล่าวมีความหมายพิเศษตามบทกฎหมายแห่งเมืองที่โจทก์จดทะเบียนไว้นั้นระบุจำกัดไว้ดังกล่าว ประกอบกับการที่โจทก์รับดำเนินการซื้อสินค้าแทนจำเลยทั้งสองนั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหมายผลในจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าแทนนั้นมาเป็นหลักแห่งหนี้สินซึ่งเป็นตัวเงิน และโจทก์ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยอันเกิดจากตัวเงินดังกล่าวนี้ จึงมีลักษณะเป็นกิจการเงินทุนอย่างหนึ่ง การซื้อสินค้าแทนดังกล่าวจึงเป็นเพียงวิธีการดำเนินการเพื่อบริการจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าในการก่อหนี้ที่เป็นกิจการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทนอันเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนของโจทก์ได้
โจทก์เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนระบุวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเภท "เงินทุน" ในเมืองฮ่องกง ซึ่งปกติคำว่า "เงินทุน" มีความหมายมิได้จำกัดเพียงการกู้ยืมหรือรับฝากเงินเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า คำดังกล่าวมีความหมายพิเศษตามบทกฎหมายแห่งเมืองที่โจทก์จดทะเบียนไว้นั้นระบุจำกัดไว้ดังกล่าว ประกอบกับการที่โจทก์รับดำเนินการซื้อสินค้าแทนจำเลยทั้งสองนั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหมายผลในจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าแทนนั้นมาเป็นหลักแห่งหนี้สินซึ่งเป็นตัวเงิน และโจทก์ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยอันเกิดจากตัวเงินดังกล่าวนี้ จึงมีลักษณะเป็นกิจการเงินทุนอย่างหนึ่ง การซื้อสินค้าแทนดังกล่าวจึงเป็นเพียงวิธีการดำเนินการเพื่อบริการจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าในการก่อหนี้ที่เป็นกิจการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทนอันเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนของโจทก์ได้