คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วินัย วิมลเศรษฐ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 776 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีล้มละลาย: ประเด็นหนี้สินเดิมที่โจทก์มิได้นำสืบครบถ้วนในคดีก่อน
โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายคดีก่อนโดยอ้างและนำสืบหนี้สินที่จำเลยมีอยู่แต่เพียงบางส่วน และหนี้สินส่วนที่โจทก์ขอเพิ่มในการฟ้องคดีนี้นั้น ล้วนแต่เป็นหนี้สินที่จำเลยมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องและนำสืบในคดีล้มละลายคดีก่อน ซึ่งโจทก์ชอบที่จะอ้างและนำสืบได้แต่โจทก์ก็มิได้กระทำเพื่อประกอบการวินิจฉัยของศาลเอง ดังนี้จำนวนหนี้สินที่จำเลยมีอยู่จริงเพียงใด จำเลยสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ ทั้งสองคดีที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นประเด็นที่อาศัยข้อเท็จจริงในจำนวนหนี้สินเดียวกัน แต่ด้วยความบกพร่องของโจทก์ในการดำเนินคดีก่อนเป็นเหตุให้ศาลมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นพิพาทโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยสามารถชำระหนี้ได้ และคำวินิจฉัยดังกล่าวนี้ได้ถึงที่สุดแล้ว คำฟ้องโจทก์คดีนี้อ้างเหตุจำนวนหนี้สินเพิ่มเติม เป็นการอาศัยข้อเท็จจริงในจำนวนหนี้สินของจำเลยที่มีอยู่จริงซ้ำกับคดีก่อนจึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2858/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการในการสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงิน และผลผูกพันต่อบุคคลภายนอก
ตามหนังสือรับรองปรากฏว่า ส. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์โดยไม่มีข้อจำกัดอำนาจ และ ส. เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินให้จำเลย ดังนี้ ข้อที่โจทก์อ้างว่าการสลักหลังดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ เพราะ ส. ลงลายมือชื่อไปโดยไม่ได้ปรึกษาหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งและต้องประทับตราของโจทก์นั้นเป็นข้อจำกัดอำนาจที่มิได้ปรากฏในหนังสือรับรอง จึงไม่อาจยกขึ้นยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจศาลในคดีล้มละลาย: พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ
จำเลยเป็นข้าราชการมีรายได้คือเงินเดือนที่แน่นอนและสามารถแบ่งชำระหนี้ได้เดือนละ 2,000 บาท ตามที่จำเลยเสนอ แม้จะใช้เวลายาวนานออกไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่สามารถชำระหนี้ได้จริง เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มากกว่าวิธีการพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามที่โจทก์ขอ เป็นเหตุไม่ควรพิพากษาให้จำเลยล้มละลายซึ่งศาลย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจตามพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ แม้คดีจะได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวต้องตามมาตรา 9 ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจศาลในคดีล้มละลาย: พิจารณาแผนชำระหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
จำเลยเป็นข้าราชการมีรายได้คือเงินเดือนที่แน่นอน และสามารถแบ่งชำระหนี้ได้เดือนละ 2,000 บาท ตามที่จำเลยเสนอ แม้จะใช้เวลายาวนานออกไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่สามารถชำระหนี้ได้จริง เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มากกว่าวิธีการพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามที่โจทก์ขอ เป็นเหตุไม่ควรพิพากษาให้จำเลยล้มละลายซึ่งศาลย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14ที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ แม้คดีจะได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวต้องตามมาตรา 9 ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: การลงวันที่เช็คหลังเกิดเหตุ และสิทธิของผู้รับอาวัลในการไล่เบี้ย
การที่ผู้ตายได้ออกเช็คพิพาทโดยเว้นรายการวันที่ออกเช็คไว้ให้ลูกแชร์คือผู้ทรงไป โดยมีข้อตกลงว่าให้ผู้ทรงไปลงวันที่เองตามกำหนดที่เปียแชร์ได้ แต่นายวงแชร์ถึงแก่ความตาย วงแชร์จึงล้มไม่มีการเปีย เวลาพึงชำระหนี้ตามเช็คที่อาศัยการเปียแชร์เป็นวิธีกำหนดจึงตกเป็นการพ้นวิสัย และจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็มิได้เจ้าหนี้คือผู้ทรงเช็คย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน แต่ผู้ตายถูกคนร้ายฆ่าเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2528 สิทธิของผู้ทรงที่จะลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ต่อผู้สั่งจ่ายจึงเริ่มมีขึ้นและมีอยู่ตลอดไปถึงวันครบกำหนดอายุความที่อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามมูลตั๋วเงินนั้น ซึ่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนด ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1002 ปรากฏว่าผู้ทรงได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 ยังอยู่ในกำหนดเวลาที่อาจใช้สิทธิได้ดังกล่าว จึงเป็นการลงวันที่สั่งจ่ายโดยถูกต้องแท้จริงตามสิทธิโดยสุจริตแล้วรายการในเช็คพิพาทจึงสมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อการลงวันที่ในเช็คพิพาทมีผลตามกฎหมายวันที่ลงในเช็คพิพาทอันเป็นวันที่เช็คถึงกำหนดใช้เงินที่ปรากฏดังกล่าวคือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันนั้น โจทก์ผู้ทรงฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2530 จึงไม่เกินกำหนด 1 ปี ยังไม่ขาดอายุความ โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คออกให้แก่ผู้ถือ จึงมีผลเป็นการประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921,989 เมื่อได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้ทรงตามที่เรียกร้องแล้ว โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้รับอาวัลที่ได้ใช้เงินตามเช็คไปแล้ว ย่อมได้สิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สั่งจ่ายซึ่งเป็นบุคคลที่ตนได้ประกันไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทลงวันที่หลังออกเช็ค: สิทธิเรียกร้อง, อายุความ, การสลักหลัง, และการไล่เบี้ย
ผู้ตายได้ออกเช็คพิพาทโดยเว้นรายการวันที่ออกเช็คไว้ให้ลูกแชร์ คือผู้ทรงไป โดยมีข้อตกลงว่าให้ผู้ทรงไปลงวันที่เองตามกำหนดที่เปียแชร์ได้ แต่นายวงแชร์ถึงแก่ความตาย วงแชร์จึงล้มไม่มีการเปีย เวลาพึงชำระหนี้ตามเช็คที่อาศัยการเปียแชร์เป็นวิธีกำหนดจึงตกเป็นการพ้นวิสัย และจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็มิได้ เจ้าหนี้คือผู้ทรงเช็คย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน แต่ผู้ตายถูกคนร้ายฆ่าเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน2528 สิทธิของผู้ทรงที่จะลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ต่อผู้สั่งจ่ายจึงเริ่มมีขึ้นและมีอยู่ตลอดไปถึงวันครบกำหนดอายุความที่อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องตามมูลตั๋วเงินนั้น ซึ่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีกำหนดอายุความ1 ปี นับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนด ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ปรากฏว่าผู้ทรงได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 ยังอยู่ในกำหนดเวลาที่อาจใช้สิทธิได้ดังกล่าว จึงเป็นการลงวันที่สั่งจ่ายโดยถูกต้องแท้จริงตามสิทธิโดยสุจริตแล้ว รายการในเช็คพิพาทจึงสมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อการลงวันที่ในเช็คพิพาทมีผลตามกฎหมาย วันที่ลงในเช็คพิพาทอันเป็นวันที่เช็คถึงกำหนดใช้เงินที่ปรากฏดังกล่าวคือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินในวันนั้น โจทก์ผู้ทรงฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2530 จึงไม่เกินกำหนด 1 ปี ยังไม่ขาดอายุความ โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คออกให้แก่ผู้ถือ จึงมีผลเป็นการประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921,989 เมื่อได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้ทรงตามที่เรียกร้องแล้ว โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้รับอาวัลที่ได้ใช้เงินตามเช็คไปแล้ว ย่อมได้สิทธิในอันจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สั่งจ่ายซึ่งเป็นบุคคลที่ตนได้ประกันไว้ตามมาตรา 940 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว: พิจารณาจากวันที่ศาลอ่านคำสั่ง ไม่ใช่วันที่ร่างคำสั่งยังอยู่ที่อธิบดี
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่มีบทบัญญัติถึงวันที่ให้ถือว่าเป็นวันที่พิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนั้น แต่มาตรา 153 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม กรณีจึงอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ.มาตรา 140 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อศาลได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งคดีนั้น จึงต้องถือว่าวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 เป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ไม่ใช่วันที่ 17 ตุลาคม 2531 ซึ่งร่างคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวยังอยู่ที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 และไม่สามารถอ่านในวันดังกล่าวได้ตามที่นัดไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การหลังนัดชี้สองสถาน: ข้อจำกัดและเหตุผลที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในวันนัดชี้สองสถาน เนื้อหาสาระที่ขอแก้ไขมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งเป็นข้อต่อสู้ที่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่ก่อนจำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ก่อนวันชี้สองสถาน และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ระบุอ้างเหตุขัดข้องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวได้ก่อนวันชี้สองสถาน คำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 วรรคสอง (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2383/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดจากเหตุหุ้นส่วนผู้จัดการประพฤติผิดสัญญาและมีเหตุให้ห้างฯ ดำรงอยู่ไม่ได้
การที่จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเพียงคนเดียวของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ประพฤติผิดสัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดนับว่ามีเหตุทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 เหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมสามารถฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ตามกฎหมายขอให้เลิกกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นการเลิกสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และจำเลยได้โดยตรงโดยหาจำต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วยไม่ เมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะแทนโจทก์ที่ 1 และคำขอบังคับก็ได้ระบุขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงโจทก์ที่ 1 ด้วย คำฟ้องของโจทก์เช่นนี้หาเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2361/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบ: นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้สั่งจ่ายกับผู้รับเช็คเป็นสำคัญ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องไม่ได้
แม้เช็คพิพาทจะเป็นเช็คผู้ถือและอยู่ในความครอบครองของโจทก์แต่ฐานะผู้ทรงโดยการถือเช็คผู้ถือจะต้องเป็นไปโดยชอบตามที่อ้างเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้บุคคลที่สามนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่มี โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบไม่มีสิทธิบังคับจำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากบุคคลที่สามที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ให้นั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นพิพาทที่กำหนด ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)
of 78