คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชูชาติ ศรีแสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 796 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์จำนวนเงินกู้ที่แท้จริง และการใช้สิทธิรับฟังพยานหลักฐานการชำระหนี้โดยวิธีการอื่น
จำเลยสามารถนำสืบโต้แย้งจำนวนเงินที่กู้ไปจากโจทก์ได้ว่าไม่ได้รับเงินไปครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย
จำเลยนำสืบว่าในปี 2534 ถึง 2537 โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทเป็นการนำสืบการใช้เงินโดยวิธีอื่น ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การที่จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาเป็นพยานหลักฐานนั้นนับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่องการใช้เงินแม้โจทก์จะไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็ตาม แต่เมื่อเสียงที่ปรากฏเป็นเสียงของโจทก์จริง และการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความนั้นเป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบอันจะต้องมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 243 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4142/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากนำสืบประเด็นใหม่นอกฟ้อง และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นนอกเหนือข้อพิพาทเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสอง โดยอ้างว่าขณะจดทะเบียนจำนองจำเลยทั้งสองทราบแล้วว่าศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ขณะจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองทราบคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วอันเป็นการกระทำไม่สุจริตหรือไม่แม้โจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงว่าการจำนองระหว่างจำเลยทั้งสองมีวงเงิน ถึง 1,000,000 บาท สูงเกินไปเพราะเจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคา ที่ดินพิพาทเพียง 159,930 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่สุจริต นั้น ก็เป็นการนำสืบนอกฟ้องและนอกประเด็น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 หยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยด้วย เป็นการมิชอบ ปัญหาข้อนี้จึงเป็น ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874-3878/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาจ้างทำของ: การแยกสัญญาซื้อขายกับสัญญาจ้าง และการเริ่มต้นระยะอายุความ
จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับ ช. และ อ. และได้ทำสัญญาต่อเติมตกแต่งอาคารกับโจทก์ โดยคำฟ้องของโจทก์แสดงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเป็นเรื่องจ้างทำของ และสภาพแห่งข้อหาคือ ไม่ชำระเงินค่าว่าจ้างให้ครบตามสัญญา โดยไม่ได้กล่าวอ้างถึงนิติสัมพันธ์ตามสัญญาอื่นรวมอยู่กับสัญญาว่าจ้างต่อเติมตกแต่งอาคารด้วย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวมี ช. กับ อ. เป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้จะขาย แต่สัญญาว่าจ้างต่อเติมตกแต่งอาคารมีโจทก์เป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้รับจ้าง สัญญาทั้งสองฉบับไม่ปรากฏว่ามีข้อความใด ๆ ที่อ้างถึงสัญญาอีกฉบับหนึ่งหรือระบุให้เห็นว่าสัญญาทั้งสองฉบับมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นสัญญาทั้งสองฉบับจึงแยกต่างหากจากกัน เมื่อโจทก์กับจำเลยทำสัญญาว่าจ้างต่อเติมตกแต่งอาคารซึ่งอยู่ในลักษณะจ้างทำของ แต่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอยู่ในลักษณะซื้อขาย การนำสัญญาทั้งสองฉบับมารวมกันแล้วถือว่าเป็นสัญญาฉบับเดียวกัน ย่อมไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ได้กำหนดลักษณะของสัญญาแต่ละชนิดไว้ ดังนั้นในระหว่างโจทก์กับจำเลย การปฏิบัติต่อกันระหว่างคู่สัญญากับการบังคับตามสัญญาต้องเป็นไปตามลักษณะจ้างทำของ จึงต้องใช้อายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: การส่งมอบการครอบครองไม่ผูกพันการจดทะเบียนโอน
หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า ผู้ขายได้ขายที่ดินจำนวนเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา ให้แก่ผู้ซื้อเป็นจำนวนเงิน 1,500 บาทและยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ วันที่ 2 เมษายน 2524 และผู้ขายได้รับราคาดังกล่าวแล้วไปจากผู้ซื้อเสร็จแล้วแต่วันที่ 2 เมษายน 2524 ย่อมมีความหมายชัดแจ้งว่าผู้ขายได้ขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อโดยเจตนาส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น ไม่มีถ้อยคำใด ๆ พอที่จะตีความหรือมีความหมายว่าผู้ขายจะไปดำเนินการโอนทางทะเบียนสำหรับที่ดินที่ซื้อขายกันให้แก่ผู้ซื้อ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินที่ซื้อจากจำเลยแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: การส่งมอบการครอบครองไม่ใช่การโอนทางทะเบียน สิทธิของผู้ซื้อมีจำกัด
หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า ผู้ขายได้ขายที่ดินจำนวนเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา ให้แก่ผู้ซื้อเป็นจำนวนเงิน 1,500 บาท และยอมส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ วันที่ 2 เมษายน 2524 และผู้ขายได้รับราคาดังกล่าวแล้วไปจากผู้ซื้อเสร็จแล้วแต่วันที่ 2 เมษายน 2524 ย่อมมีความหมายชัดแจ้งว่าผู้ขายได้ขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อโดยเจตนาส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น ไม่มีถ้อยคำใด ๆ พอที่จะตีความหรือมีความหมายว่าผู้ขายจะไปดำเนินการโอนทางทะเบียนสำหรับที่ดินที่ซื้อขายกันให้แก่ผู้ซื้อ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินที่ซื้อจากจำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความและการหักบัญชีหนี้จากการจำหน่ายหนังสือ กรณีพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย
คำให้การของจำเลยว่า หนี้ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน 2 ปีนับจากวันหักทอนบัญชีตามที่ตกลงกันไว้ โดยไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าหนังสือแต่ละเล่มหักทอนบัญชีกันเมื่อไร และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตั้งแต่เมื่อใดจึงไม่ได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความ ไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยหน้า 1 ตั้งแต่ข้อ 1 และหน้า 2 มีข้อความเหมือนกับอุทธรณ์ในหน้า 1 ตั้งแต่ข้อ 1 และหน้า 2 ทุกประการ ฎีกาตั้งแต่หน้า 3ถึงหน้า 78 เป็นการถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์หน้า 3 ถึงหน้า 78 คงมีข้อความเพิ่มเติมในหน้า 78 เพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยไม่เห็นด้วย จึงขอฎีกาดังต่อไปนี้ ฎีกาตั้งแต่หน้า 79 ถึงหน้า 102 ก็ถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์ตั้งแต่หน้า 100 ถึงหน้า 123 ส่วนฎีกาหน้า 103 และหน้า 104 แม้จะไม่ได้ถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์หน้า 124 และหน้า 125 โดยตรง แต่ก็มีถ้อยคำสำนวนไม่แตกต่างกัน ฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องด้วยกฎหมายกับข้อเท็จจริงอย่างไร และที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชัดเจนและไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยหน้า 1 ตั้งแต่ข้อ 1 และหน้า 2 มีข้อความเหมือนกับอุทธรณ์ในหน้า 1 ตั้งแต่ข้อ 1 และหน้า 2 ทุกประการ ฎีกาตั้งแต่หน้า 3ถึงหน้า 78 เป็นการถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์หน้า 3 ถึงหน้า 78 คงมีข้อความเพิ่มเติมในหน้า 78 เพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยไม่เห็นด้วย จึงขอฎีกาดังต่อไปนี้ ฎีกาตั้งแต่หน้า 79 ถึงหน้า 102 ก็ถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์ตั้งแต่หน้า 100ถึงหน้า 123 ส่วนฎีกาหน้า 103 และหน้า 104 แม้จะไม่ได้ถ่ายสำเนามาจากอุทธรณ์หน้า 124 และหน้า 125 โดยตรง แต่ก็มีถ้อยคำสำนวนไม่แตกต่างกัน ฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องด้วยกฎหมายกับข้อเท็จจริงอย่างไร และที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2790/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าขึ้นศาล ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาและคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด15 วัน นับแต่วันอ่านคำสั่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 วางเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 200 บาท สำหรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไป จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการมิชอบ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2จึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2790/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมิชอบ ทำให้ไม่มีสิทธิฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาและคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่านคำสั่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 วางเงินค่าธรรมเนียมศาลจำนวน 200 บาทสำหรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไป จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการมิชอบ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
of 80