คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชูชาติ ศรีแสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 796 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์ - การกระทำไม่ถึงองค์ประกอบความผิด
จำเลยมาพบผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินทางไปโรงเรียนก็เนื่องจากผู้เสียหายนัดจำเลยให้มาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ แต่จำเลยไม่ได้นำเสื้อมาให้ เมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะต้องใช้เสื้อ จำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยเพื่อไปเอาเสื้อ โดยผู้เสียหายรออยู่ที่ปากซอย หลังจากผู้เสียหายได้เสื้อแล้วขณะนั้นเป็นเวลา 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไปโรงเรียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนเวลาเที่ยง จำเลยจึงชวนผู้เสียหายให้คอยที่ห้องเช่าของจำเลยก่อน นั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยบอกจะออกไปเอาหนังสือการ์ตูนข้างนอก ผู้เสียหายขอตามจำเลยไปด้วย ไปที่บ้านเพื่อนจำเลยประมาณ 30 นาที จำเลยก็พาผู้เสียหายกลับไปที่ห้องเพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยง ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามลักทรัพย์: การงัดรถและเตรียมอุปกรณ์แสดงเจตนา
จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับในขณะที่กำลังก้มเงยอยู่ข้างประตูด้านคนขับรถกระบะคันที่เกิดเหตุ โดยมีลูกกุญแจ 2 ดอก กุญแจล็อกประตูรถกระบะอยู่ในกระเป๋าเสื้อจำเลย ส่วนประตูรถกระบะเปิดได้และพบประแจบล็อก3 ทาง กับไขควงวางอยู่ที่เบาะคนขับ ประตูรถด้านคนขับมีร่องรอยงัดแงะตรงช่องกุญแจส่วนกุญแจหายไป จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าพี่ชายให้มาเอารถแต่ลืมกุญแจจึงงัดรถเข้าไป ส่วนเงิน 1,000 บาท ที่จำเลยมีติดตัวอยู่นั้นเตรียมไว้เป็นค่าน้ำมันรถพฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยงัดประตูรถกระบะเข้าไปโดยมีไม้บรรทัดเหล็กไขควง ประแจบล็อก 3 ทาง กุญแจ 2 ดอก และไฟฉายเป็นอุปกรณ์ ถึงแม้กุญแจ 2 ดอกไม่มีเขี้ยวและไม่ปรากฏว่าใช้ไขสตาร์ทรถกระบะได้หรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยแล้วว่าต้องการใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือเพื่อเอารถกระบะไปเมื่อจำเลยสามารถงัดประตูรถกระบะจนเปิดออก และงัดเอากุญแจล็อกประตูรถออกไปได้ ถือได้ว่าเป็นการลงมือเพื่อจะเอารถกระบะไปโดยทุจริตแล้ว เมื่อไม่สามารถเอารถกระบะไปได้จะด้วยเหตุเพราะยังไม่ได้ทำลายกุญแจล็อกเกียร์หรือเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบการกระทำความผิดของจำเลยเสียก่อนก็ดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นสัญญาว่าความและการถอนทนาย ความสามารถยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นอุทธรณ์ได้หากข้อเท็จจริงปรากฏหลังฟ้อง
จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีที่ว่าจ้างให้โจทก์เป็นทนายความได้ยื่นคำร้องขอถอนโจทก์จากการเป็นทนายความ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2539 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2539 และยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2540 ซึ่งเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ถอนโจทก์จากการเป็นทนายความนั้นมีอยู่แล้วขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ แต่เป็นข้อที่โจทก์สามารถยกขึ้นมากล่าวตั้งแต่ในศาลชั้นต้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8879/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองตามกฎหมายอาญา: การใช้กำลังเพื่อป้องกันภยันตรายใกล้จะถึงจากการประทุษร้าย
จำเลยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องกับผู้ตาย เมื่อผู้ตายถือมีดเข้ามาท้าทาย จำเลยเพียงแต่ใช้มือผลักอกผู้ตายเท่านั้น การที่ผู้ตายยังเข้าไปหาจะใช้มีดฟันจำเลยอีก จำเลยจึงถีบผู้ตายและใช้มีดฟันผู้ตายไปเพียงครั้งเดียว แม้ผู้ตายจะมีอาการมึนเมาสุรา แต่ตามลักษณะอาการของผู้ตายแสดงว่ายังครองสติได้ การมึนเมาสุราดังกล่าวจะยกขึ้นมาเพื่อฟังให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้ พฤติการณ์ถือได้ว่า จำเลยฟันผู้ตายเพื่อป้องกันตนเอง ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8576/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งกรรมสิทธิ์: ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งหากไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์และฟ้องแย้งขอให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยประเมินราคาทุนทรัพย์ตามที่ฟ้องแย้งและเสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ดังนี้เมื่อจำเลยฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้ง จะอ้างว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการขอให้ศาลพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิของตนที่มีและได้มาแล้วโดยผลของกฎหมายมิได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแย้งภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดบุกรุกเป็นกรรมเดียว อายุความ 3 เดือน - การกระทำต่อเนื่องเป็นผลของการบุกรุกครั้งแรก
จำเลยนำรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดและตั้งแสดงบนที่ดินของโจทก์ร่วมที่อยู่ติดกับร้านขายรถจักรยานยนต์ของจำเลยเพื่อขายในเวลากลางวัน และนำเข้าเก็บรักษาในร้านในเวลากลางคืน เป็นการเคลื่อนย้ายรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมเป็นการชั่วคราวเพื่อจะนำเข้าไปตั้งแสดงใหม่ในวันรุ่งขึ้นด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับที่ได้กระทำมาแล้วในครั้งแรกอีก แม้จะมีการกระทำหลายครั้งแต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่ยืดออกไปจากการกระทำความผิดครั้งแรกและเป็นเพียงผลของการบุกรุกที่ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกระทงเดียวนับแต่การกระทำความผิดครั้งแรกสำเร็จลง ความผิดฐานบุกรุกเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เดือนมีนาคม2536 แต่เพิ่งร้องทุกข์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2537 พ้นกำหนด3 เดือนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบุกรุก: การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว และระยะเวลาการร้องทุกข์
บริษัทที่จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการประกอบธุรกิจขายรถจักรยานยนต์เพื่อการนำรถจักรยานยนต์ออกตั้งและแสดงแก่ประชาชนเพื่อขายในเวลากลางวันและนำรถเข้าเก็บในร้านในเวลากลางคืนย่อมเป็นกิจปกติที่ผู้มีอาชีพเช่นนั้นพึงกระทำเป็นประจำต่อเนื่องกันทุกวันดังนั้น การที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดและตั้งแสดงบนที่ดินของโจทก์ร่วมที่อยู่ติดกับร้านขายรถจักรยานยนต์ของจำเลยเพื่อขายในเวลากลางวันและนำเข้าเก็บรักษาในร้านในเวลากลางคืน เมื่อตามสภาพบังคับให้จำเลยต้องเคลื่อนย้ายรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมเป็นการชั่วคราวเพื่อจำเลยจะได้นำเข้าไปตั้งแสดงใหม่ในวันรุ่งขึ้นด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับที่ได้กระทำมาแล้วในครั้งแรกหากการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้อง ก็เป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายในฐานความผิดเดียวกันโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน และมีจุดประสงค์ในการกระทำความผิดเป็นอย่างเดียวกัน แม้จะมีการกระทำหลายครั้งแต่การกระทำเหล่านั้นก็เป็นเพียงการกระทำที่ยืดออกไปจากการกระทำความผิดครั้งแรกและเป็นเพียงผลของการบุกรุกที่ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว หาใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแยกออกไปต่างหากไม่ ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกระทงเดียวนับแต่การกระทำความผิดครั้งแรกสำเร็จลง เมื่อความผิดฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ร่วมซี่งเป็นผู้เสียหายได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2536 แต่โจทก์ร่วมเพิ่งร้องทุกข์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2537 พ้นกำหนด 3 เดือนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7498/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงซื้อที่ดินเป็นการจัดตั้งห้างหุ้นส่วน สิทธิเรียกร้องเงินลงทุนต้องรอการชำระบัญชี
ข้อตกลงโครงการซื้อที่ดินระหว่างผู้เริ่มโครงการและผู้ลงทุนระบุว่าเป็นโครงการจัดหาซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร โดยมีผู้ร่วมดำเนินการคือโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วม โจทก์และจำเลยร่วมลงทุนเป็นเงิน ส่วนจำเลยเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินที่ซื้อได้ เมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วให้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ออกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันชำระเงินซื้อที่ดินจนถึงวันขายที่ดินได้ และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ หากมีเงินเหลือซึ่งเป็นกำไรก็จะจัดการแบ่งกันในระหว่างผู้ร่วมกันดำเนินการทุกคนดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยและจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน หาใช่เป็นสัญญาร่วมลงทุนไม่ และเมื่อห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยังไม่เลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055,1056 และ 1057 จึงยังไม่ได้จัดการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ร่วมลงทุนในห้างหุ้นส่วนจากหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7498/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงร่วมลงทุนซื้อที่ดินจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน การชำระบัญชีและการฟ้องเรียกเงินจากหุ้นส่วน
ข้อตกลงโครงการซื้อที่ดินระหว่างผู้เริ่มโครงการและผู้ลงทุนระบุว่าเป็นโครงการจัดหาซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร โดยมีผู้ร่วมดำเนินการคือโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วม โจทก์และจำเลยร่วมลงทุนเป็นเงิน ส่วนจำเลยเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินและดำเนินการออกโฉนดที่ดินที่ซื้อได้ เมื่อขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วให้จ่ายเงินคืนแก่ผู้ออกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันชำระเงินซื้อที่ดินจนถึงวันขายที่ดินได้ และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ หากมีเงินเหลือซึ่งเป็นกำไรก็จะจัดการแบ่งกันในระหว่างผู้ร่วมกันดำเนินการทุกคน ดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยและจำเลยที่ 2 จึงเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน หาใช่เป็นสัญญาร่วมลงทุนไม่ และเมื่อห้างหุ้นส่วนดังกล่าวยังไม่เลิกกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1055, 1056 และ 1057จึงยังไม่ได้จัดการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ร่วมลงทุนในห้างหุ้นส่วนจากหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7403/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็นและทางภารจำยอม: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการกำหนดความกว้างของทางจำเป็น และการวินิจฉัยประเด็นทางภารจำยอมที่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมกว้าง 1 เมตร จึงไม่เป็นทางจำเป็น และให้ย้ายทางภารจำยอมตามที่จำเลยทั้งสองเสนอ โจทก์อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและเป็นทางจำเป็นด้วยศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทไม่เป็นทางภารจำยอมจึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์หาเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบไม่
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมทุกด้าน คงมีเฉพาะทางพิพาทที่โจทก์และครอบครัวใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์เท่านั้น จำเลยไม่ได้อุทธรณ์หรือยื่นคำแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองจะฎีกาว่า โจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะนอกเหนือจากทางพิพาทอีกไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปิดทางจำเป็นกว้างตามแนวที่โจทก์ขอ แต่ไม่ระบุความกว้างให้ชัดเจน จึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาจึงระบุให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นเสียให้ชัดแจ้งและไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอมาในชั้นอุทธรณ์
of 80