คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชูชาติ ศรีแสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 796 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาบังคับคดี 10 ปี เริ่มนับจากวันคดีถึงที่สุด ไม่ใช่วันมีคำพิพากษา
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271ที่ว่า นับแต่วันมีคำพิพากษา หมายความว่า วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2526 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับและได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526 ต่อมาวันที่8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2535เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาในวันที่5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จแสดงว่า โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ประกาศว่าจะทำการบังคับคดีโดยการรื้อถอนอาคารตามประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 อันเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 271 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาบังคับคดีตามคำพิพากษา: เริ่มนับจากวันคดีถึงที่สุด
บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ที่ว่า นับแต่วันมีคำพิพากษา หมายความว่า วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม2526 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง โจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับและได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2526ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม2535 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาในวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จ แสดงว่า โจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ได้ประกาศว่าจะทำการบังคับคดีโดยการรื้อถอนอาคารตามประกาศลงวันที่25 มิถุนายน 2536 อันเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 271 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8759/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาบังคับคดี 10 ปีนับจากวันคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่ใช่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่สร้างผิดกฎหมาย โดยพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2526ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2526ได้มีการส่งคำบังคับโดยการปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 1 กันยายน2526 ต่อมาวันที่ 8 มกราคม 2535 โจทก์ยื่นคำขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และได้ออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 27 มกราคม2535 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกประกาศลงวันที่ 25 มิถุนายน 2536 ว่าจะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 และหรือในวันต่อ ๆ ไปจนกว่าจะทำการแล้วเสร็จถือได้ว่าเป็นการดำเนินการบังคับคดีตั้งแต่วันดังกล่าวแล้วซึ่งเป็นเวลาภายในกำหนด 10 ปี และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในวันที่ 5 กรกฎาคม 2536และหรือวันต่อ ๆ ไปก็ทำได้จนกว่าจะเสร็จ บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 ที่ว่า ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หมายความว่า นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8437/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าทดแทนเวนคืนที่เหมาะสม ศาลมีอำนาจปรับเพิ่มจากราคาประเมินทุนทรัพย์ได้
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกำหนดราคาเบื้องต้นและจ่ายเงินค่าทดแทนที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์จำนวน 1,797,750 บาท ไม่เป็นธรรม เพราะโจทก์รับซื้อฝากมาราคา 4,287,500 บาท เงินค่าทดแทนจำนวนดังกล่าวเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เจ้าหน้าที่เวนคืนของจำเลยกำหนดราคาเบื้องต้นสำหรับที่ดินในการจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ต่ำกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 ดังนี้ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้กล่าวอ้างว่าจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ด้วยแล้ว ซึ่งศาลก็ได้กำหนดเป็นประเด็นในคดีว่า จำเลยกำหนดค่าทดแทนเป็นธรรมหรือไม่ แต่เนื่องจากไม่ปรากฏราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน ศาลล่างทั้งสองจึงกำหนดเงินค่าทดแทนตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมทำนองเดียวกับที่คณะกรรมการฯใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนเพียงแต่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เพียง 50เปอร์เซนต์ ของราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่เป็นธรรม จึงได้กำหนดให้เพิ่มขึ้นเป็นตารางวาละ 1,200 บาทซึ่งไม่สูงกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ทั้งนี้โดยได้คำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของที่พิพาท เหตุและวัตถุประสงค์ในการเวนคืนแล้ว เป็นการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ชอบด้วยมาตรา 21 แล้ว ศาลล่างทั้งสองหาได้พิพากษานอกประเด็นหรือแก้ไขหลักเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนตามกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา ทั้งตามมาตรา 25 และ 26 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ก็บัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนฯ และให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระค่าทดแทนเพิ่มแก่โจทก์ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว
เมื่อจำเลยต้องชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาล โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงสุดนี้ในเวลาที่ต่างกันอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 26 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราคงที่เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8437/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าทดแทนเวนคืนที่ดิน: ศาลมีอำนาจพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม และดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกำหนดราคาเบื้องต้นและจ่ายเงินค่าทดแทนที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์จำนวน 1,797,750บาท ไม่เป็นธรรม เพราะโจทก์รับซื้อฝากมาราคา4,287,500 บาท เงินค่าทดแทนจำนวนดังกล่าวเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงและก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่โจทก์เจ้าหน้าที่เวนคืนของจำเลยกำหนดราคาเบื้องต้นสำหรับที่ดินในการจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ต่ำกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 และประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44 ดังนี้ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้กล่าวอ้างว่าจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ด้วยแล้ว ซึ่งศาลก็ได้กำหนดเป็นประเด็นในคดีว่าจำเลยกำหนดค่าทดแทนเป็นธรรมหรือไม่ แต่เนื่องจากไม่ปรากฏราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน ศาลล่างทั้งสองจึงกำหนดเงินค่าทดแทนตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมทำนองเดียวกับที่คณะกรรมการฯใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนเพียงแต่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าการกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์เพียง 50 เปอร์เซนต์ของราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่เป็นธรรม จึงได้กำหนดให้เพิ่มขึ้นเป็นตารางวาละ 1,200 บาท ซึ่งไม่สูงกว่าราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ทั้งนี้โดยคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของที่พิพาท เหตุและวัตถุประสงค์ในการเวนคืนแล้วเป็นการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ชอบด้วยมาตรา 21 แล้วศาลล่างทั้งสองหาได้พิพากษานอกประเด็นหรือแก้ไขหลักเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนตามกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาทั้งตามมาตรา 25 และ 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ก็บัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนฯ และให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระค่าทดแทนเพิ่มแก่โจทก์ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อจำเลยต้องชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาล โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสูงสุดนี้ในเวลาที่ต่างกันอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 26 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราคงที่เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8378/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนทางจิตใจจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: ไม่อยู่ในข่ายที่กฎหมายคุ้มครอง
ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเขตทางซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตจตุจักร ... พ.ศ.2535ซึ่งมีผลใช้บังคับวันที่ 29 สิงหาคม 2535 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ต้องเวนคืนจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพียงใดต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 หมวด 2 เงินค่าทดแทน ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับค่าเสียหายทางจิตใจไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางจิตใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8378/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: สิทธิค่าทดแทนเฉพาะค่าที่ดิน ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจ
ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเขตทางซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตจตุจักร พ.ศ.2535 ซึ่งมีผลใช้บังคับวันที่ 29 สิงหาคม 2535 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ต้องเวนคืนจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพียงใดต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 หมวด 2 เงินค่าทดแทน ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับค่าเสียหายทางจิตใจไว้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางจิตใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8375/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนที่ดิน: ข้อโต้แย้งอายุฎีกา, การกำหนดค่าทดแทน, และขอบเขตค่าเสียหาย
ที่โจทก์ฎีกาว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตเวนคืนที่ดินของโจทก์ได้สิ้นอายุก่อนโจทก์นำคดีมาสู่ศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อเสนอศาลให้พิจารณา และการเวนคืนที่ดินโจทก์ ไม่มีการออกกฎหมายโดยเฉพาะเพื่อเวนคืน จึงเป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2535 แก้ไข พ.ศ.2538 นั้นเป็นการโต้แย้งการกระทำของโจทก์เอง มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยกำหนดค่าทดแทนโดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2534 เป็นเกณฑ์กำหนด ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 หากโจทก์เห็นว่าราคาซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดมีราคาสูงกว่าที่จำเลยกำหนด การกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ไม่เป็นธรรม โจทก์ก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังได้เช่นนั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ตามคำฟ้องได้
การกำหนดค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้มีพ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 หมวด 2 กำหนดรายละเอียดของค่าทดแทนที่ผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พึงได้รับค่าทดแทนไว้แล้วค่าเสียหายทางจิตใจมิใช่ค่าทดแทนที่พระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้ถูกเวนคืนพึงได้รับ ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าทดแทนที่เป็นค่าเสียหายทางจิตใจให้โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8375/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนที่ดิน: ศาลฎีกายกฟ้องประเด็นอายุความเวนคืน, ราคาประเมิน, และค่าเสียหายทางจิตใจ
ที่โจทก์ฎีกาว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตเวนคืนที่ดินของโจทก์ได้สิ้นอายุก่อนโจทก์นำคดีมาสู่ศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อเสนอศาลให้พิจารณา และการเวนคืนที่ดินโจทก์ ไม่มีการออกกฎหมายโดยเฉพาะเพื่อเวนคืน จึงเป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2535 แก้ไข พ.ศ. 2538 นั้น เป็นการโต้แย้งการกระทำของโจทก์เอง มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยกำหนดค่าทดแทนโดยอาศัยราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมพ.ศ. 2531 ถึง พ.ศ. 2534 เป็นเกณฑ์กำหนดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 หากโจทก์เห็นว่าราคาซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดมีราคาสูงกว่าที่จำเลยกำหนดการกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ไม่เป็นธรรม โจทก์ก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลรับฟังได้เช่นนั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ตามคำฟ้องได้ การกำหนดค่าทดแทนในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530หมวด 2 กำหนดรายละเอียดของค่าทดแทนที่ผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พึงได้รับค่าทดแทนไว้แล้วค่าเสียหายทางจิตใจมิใช่ค่าทดแทนที่พระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้ถูกเวนคืนพึงได้รับ ศาลฎีกาจึงกำหนดค่าทดแทนที่เป็นค่าเสียหายทางจิตใจให้โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8364/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องถูกจำกัดด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีเดิมห้ามฟ้องซ้ำ
ส.เคยยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินโดยกล่าวหาว่าโฉนดดังกล่าวออกมาไม่ชอบทับที่ดินของตนแต่ผลที่สุดคดีตกลงกันได้ศาลได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้วโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของน. ภรรยาส. ซึ่งถึงแก่กรรมจึงมีความผูกพันตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ส.ทำไว้เมื่อข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความส. ตกลงจะไม่เรียกร้องที่ดินที่เหลือนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความอีกโจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกร้องหรือฟ้องกรมที่ดินหรืออธิบดีกรมที่ดินขอให้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินนั้นพร้อมที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดดังกล่าวซ้ำอีกและการที่จำเลยทั้งสองแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่าการออกโฉนดที่ดินและที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำฟ้องเป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงไม่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีสิทธิใดๆเกี่ยวกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
of 80