พบผลลัพธ์ทั้งหมด 796 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้รับจำนองในการบังคับคดีและการได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น แม้ขายทอดตลาดโดยปลอดจำนอง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289วรรคหนึ่งให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะเลือกว่าให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นก็ได้แต่อย่างไรก็ตามหากผู้รับจำนองไม่ประสงค์จะใช้สิทธิบังคับจำนองก็อาจให้ขายทรัพย์นั้นโดยติดจำนองก็ได้เพราะการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิจำนองซึ่งผู้รับจำนองอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287และในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์วรรคสองของมาตรา289ได้บัญญัติให้ผู้รับจำนองยื่นคำร้องเสียก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดทั้งนี้เพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการไปได้โดยถูกต้องตามเจตนาของผู้รับจำนองการที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดจึงหาเป็นเหตุให้ผู้ร้องหมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไปไม่ เมื่อเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองแล้วก็จะต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา732
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้รับจำนองในการรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนอง: การยื่นคำร้องและการปลอดจำนอง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289วรรคแรกให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะเลือกว่าให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นก็ได้ส่วนวรรคสองได้บัญญัติเพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการไปได้โดยถูกต้องตามเจตนาของผู้รับจำนองการที่ผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดหาทำให้หมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไม่ฉะนั้นเมื่อเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองแล้วก็ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้รับจำนองก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3508/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะผู้เช่าช่วงและการขับไล่: การยินยอมให้เช่าช่วงทำให้ผู้เช่าช่วงมีสิทธิ
คำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างว่า โจทก์อนุญาตให้จำเลยต่อเติมตึกแถวและให้จำเลยนำไปให้ผู้อื่นเช่าภายในกำหนดสัญญาเช่าเดิมระหว่างโจทก์และจำเลย ต่อมาผู้ร้องได้เช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลย โดยผู้ร้องได้ช่วยออกเงินช่วยก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นเงิน 100,000 บาท เท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยนำตึกแถวพิพาทบางส่วนไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง ข้ออ้างของผู้ร้องเช่นนี้หากไต่สวนได้ความจริงฐานะของผู้ร้องย่อมเป็นผู้เช่าช่วงตึกแถวโดยชอบ โจทก์ย่อมไม่อาจขับไล่ผู้ร้องในฐานะบริวารของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3507/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับชั้นการอุทธรณ์คำสั่งศาล: คำสั่งเกี่ยวกับบังคับคดีต้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก่อน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนเป็นคำสั่งเกี่ยวกับการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 292 (2) ซึ่งมิได้บัญญัติให้คู่ความอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาได้เลย ดังนั้นโจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามลำดับชั้นศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาโดยตรงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก.ตำบล และผลของการอุทธรณ์พ้นกำหนด
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติถึงวิธีการในการแจ้งให้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ฉะนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบล แล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน
โจทก์ที่ 1 ร่วมประชุมอยู่จนกระทั่ง คชก.ตำบล ลงมติวินิจฉัยโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบคำวินิจฉัยในขณะนั้นแล้ว และโจทก์ที่ 1 ก็บอกให้โจทก์ที่ 2ทราบคำวินิจฉัย จึงบ่งชี้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก โจทก์ทั้งสองจะอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวไม่ได้
การที่ คชก.จังหวัด ได้ลงมติและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนด เป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทำนาต่อไป
โจทก์ที่ 1 ร่วมประชุมอยู่จนกระทั่ง คชก.ตำบล ลงมติวินิจฉัยโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบคำวินิจฉัยในขณะนั้นแล้ว และโจทก์ที่ 1 ก็บอกให้โจทก์ที่ 2ทราบคำวินิจฉัย จึงบ่งชี้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก โจทก์ทั้งสองจะอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวไม่ได้
การที่ คชก.จังหวัด ได้ลงมติและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนด เป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทำนาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. การนับเริ่มจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคแรกไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัยคชก.ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรหรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ดังนั้นหากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน30วัน โจทก์ที่1ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่1บอกให้โจทก์ที่2ทราบคำวินิจฉัยคชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่2ได้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเช่นเดียวกันโจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดภายใน30วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลแม้ต่อมาคชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีกก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า30วันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา56วรรคแรกคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลจึงเป็นที่สุดตามมาตรา56วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การที่คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีกจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก. เริ่มนับจากวันที่ทราบคำวินิจฉัย แม้ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้ง
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติวิธีการในการแจ้งให้ทราบถึงคำวินิจฉัย คชก. ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ ดังนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน โจทก์ที่ 1 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลแล้วในวันเดียวกันโจทก์ที่ 1 บอกให้โจทก์ที่ 2 ทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบลจึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองจะต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลแม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก ก็หาเป็นผลให้โจทก์ทั้งสองอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่ นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวอีกได้ไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เกินกว่า 30 วันนับแต่ทราบคำวินิจฉัยแต่แรกเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 56 วรรคแรกคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 56 วรรคสองคชก.จังหวัดไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ตามที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ การที่ คชก.จังหวัดได้ลงมติและวินิจฉัยอีก จึงเป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทำนาในที่นาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3332/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาและการพิสูจน์ความรับผิดตามสัญญา/ละเมิด
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้เพียงว่าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่ผู้นำรถยนต์มาประกันภัยไว้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด แต่ปัญหาที่ว่าโจทก์จะรับช่วงสิทธิจากผู้เอา-ประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้หรือไม่ก็เป็นประเด็นย่อยที่รวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัย และรับฝากทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้อยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. กับเจ้าของและผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว รวมทั้งรับฝากรถยนต์โดยมีบำเหน็จ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องเลยว่าจำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัยและรับฝากทรัพย์สินของ ป. กับ ป. เป็นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. และรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์เป็นของ ป. อันจะได้นำมาพิจารณาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อ ป. ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องดูแลรักษารถยนต์ตามฟ้อง การที่ลูกจ้างจำเลยไม่ได้ตรวจตราและมีคนนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริเวณหมู่บ้าน พ. ได้ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อ ป. จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อ ป. ทั้งในเรื่องสัญญาและละเมิด จึงไม่มีสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงจาก ป. มาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
เมื่อข้อกล่าวอ้างตามฟ้องเห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัย และรับฝากทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้อยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. กับเจ้าของและผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว รวมทั้งรับฝากรถยนต์โดยมีบำเหน็จ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องเลยว่าจำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัยและรับฝากทรัพย์สินของ ป. กับ ป. เป็นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. และรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์เป็นของ ป. อันจะได้นำมาพิจารณาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อ ป. ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องดูแลรักษารถยนต์ตามฟ้อง การที่ลูกจ้างจำเลยไม่ได้ตรวจตราและมีคนนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริเวณหมู่บ้าน พ. ได้ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อ ป. จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อ ป. ทั้งในเรื่องสัญญาและละเมิด จึงไม่มีสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงจาก ป. มาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
เมื่อข้อกล่าวอ้างตามฟ้องเห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3271/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนมติสภาเทศบาลและการแต่งตั้งประธาน/รองประธานใหม่ ทำให้คำขอเดิมสิ้นผลไป
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมสภาเทศบาลตำบลปากช่องและมติแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่อง และมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่องตามลำดับ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น สภาเทศบาลตำบลปากช่องได้ลงมติเลือกประธานและรองประธานสภาเทศบาลใหม่แล้ว การดำรงตำแหน่งของประธานและรองประธานสภาเทศบาลตำบลปากช่องเดิมย่อมหมดวาระในการดำรงตำแหน่งต่อไปจึงไม่อาจจะพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและจำหน่ายคดีจากสารบบความจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3271/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเลือกตั้งประธานสภาเทศบาล หลังมีการเลือกตั้งใหม่และหมดวาระเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมสภาเทศบาลและมติแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาเทศบาล และมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นประธานและรองประธานสภาเทศบาลตามลำดับ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นสภาเทศบาลได้ลงมติเลือกประธานและรองประธานสภาเทศบาลใหม่แล้ว การดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาเทศบาลเดิมย่อมหมดวาระในการดำรงตำแหน่งต่อไป จึงไม่อาจจะพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความ