คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชูชาติ ศรีแสง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 796 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3093/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเวนคืนที่ดินต้องเป็นธรรมตามราคาตลาด รัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศคณะปฏิวัติ
การที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 วรรคแรกบัญญัติไว้ว่า เงินค่าทดแทนนั้นถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้ว ให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด ฯลฯย่อมเห็นได้ว่า รัฐต้องการให้ผู้ถูกเวนคืนที่ดินได้รับค่าทดแทนในราคาที่เป็นธรรม จึงได้กำหนดกฎเกณฑ์ในการใช้ค่าทดแทนไว้ดังกล่าวจำเลยที่ 2 จึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวในการกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ จะยกข้ออ้างเรื่องทำเพื่อประโยชน์ของรัฐที่ต้องบริการสาธารณะแล้วกำหนดค่าทดแทนที่ดินโดยไม่ยึดถือบทบัญญัติของกฎหมายหาได้ไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ซื้อที่ดินมาในราคาตารางวาละ5,155 บาท ที่ดินบริเวณใกล้เคียงที่ดินของโจทก์ซื้อขายกันในราคาตารางวาละ 2,500 บาทบ้าง ในราคาตารางวาละ 5,000 บาทและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ตารางวาละ 2,500 บาทจึงเป็นการกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดตามที่บัญญัติไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295ข้อ 76 โดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกำไรจากการร่วมกันรับเหมาต้องทำกับห้างหุ้นส่วน ไม่ใช่ตัวบุคคลโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนรับจ้างทำงานก่อสร้างจากทางราชการและมีผลกำไรจากการก่อสร้าง โจทก์จึงต้องแบ่งผลกำไรให้แก่จำเลยและเมื่อยอดเงินตามเช็คน้อยกว่าส่วนแบ่งผลกำไรของจำเลย โจทก์จึงต้องชำระเงินคืนแก่จำเลย ดังนี้ เมื่อผู้รับจ้างทำงานก่อสร้างตามสัญญาจ้างดังกล่าวคือห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ซึ่งเป็นนิติบุคคลโจทก์เป็นเพียงหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวซึ่งในการก่อสร้างนั้นหากจะมีกำไรจริง ผู้ที่ได้รับกำไรก็คือห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. จะถือว่าโจทก์มีกำไรไม่ได้เพราะเป็นคนละคนกัน เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวต่างหาก จำเลยหามีสิทธินำหนี้ตามเช็คที่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์มาหักหนี้กับโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานขายยาเสพติดร่วมกัน โดยมีเจตนาดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบถือเป็นตัวการ
การที่จำเลยติดต่อขายเฮโรอีนให้ ห.พาส. มาเจรจาเรื่องราคากับ ห. โดยจำเลยนั่งอยู่ด้วย เมื่อตกลงราคากันได้ก็นัดส่งมอบเฮโรอีนโดยมีเงื่อนไขว่า ห. ได้รับเฮโรอีนก่อนแล้วจึงจะนำเงินไปชำระที่บ้านจำเลย ถึงวันนัดจำเลยมาพบห. ตามนัด จำเลยบอกสถานที่ที่เก็บเฮโรอีนและให้คนที่มากับจำเลยนำทาง ห.ไปรับเฮโรอีนจากส. ซึ่งรออยู่เมื่อได้เฮโรอีนแล้ว ห.กับส. เดินทางไปบ้านจำเลยเพื่อชำระเงิน แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายเฮโรอีนร่วมกับ ส.มาตั้งแต่ต้นจนมีการส่งมอบให้ห. จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นตัวการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมในการขายยาเสพติด: การกระทำตั้งแต่ต้นจนส่งมอบ
การที่จำเลยติดต่อขายเฮโรอีนให้ ห. พา ส.มาเจรจาเรื่องราคากับ ห. โดยจำเลยนั่งอยู่ด้วย เมื่อตกลงราคากันได้ก็นัดส่งมอบเฮโรอีนโดยมีเงื่อนไขว่า ห.ได้รับเฮโรอีนก่อนแล้วจึงจะนำเงินไปชำระที่บ้านจำเลย ถึงวันนัดจำเลยมาพบ ห.ตามนัด จำเลยบอกสถานที่ที่เก็บเฮโรอีนและให้คนที่มากับจำเลยนำทาง ห.ไปรับเฮโรอีนจาก ส.ซึ่งรออยู่ เมื่อได้เฮโรอีนแล้ว ห.กับ ส.เดินทางไปบ้านจำเลยเพื่อชำระเงิน แสดงว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขายเฮโรอีนร่วมกับ ส.มาตั้งแต่ต้นจนมีการส่งมอบให้ ห. จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นตัวการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบต้องสอดคล้องกับข้อต่อสู้เดิม การขีดฆ่าลายมือชื่อไม่ใช่การไม่ได้ลงลายมือชื่อ
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การสู้คดีว่า มิได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาท ย่อมมีความหมายชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ได้ลงลายมือชื่อหรือไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3อยู่ด้านหลังเช็คพิพาทและเมื่อลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่มีแล้ว การขีดฆ่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้มีการขีดฆ่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้สลักหลังจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การสู้คดีไว้ และการที่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกขีดฆ่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่ด้านหลังเช็คพิพาทลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังคงมีอยู่ แต่จำเลยที่ 2และที่ 3 จะต้องรับผิดในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการบังคับคดีต้องยื่นภายใน 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืน หรือก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น
การร้องคัดค้านการบังคับคดีจะต้องร้องคัดค้านภายในแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืน แต่ต้องกระทำเสียก่อนที่การบังคับคดีได้เสร็จลงหากการบังคับคดีได้เสร็จลงไปแล้วแม้เพิ่งทราบการฝ่าฝืนก็ร้องคัดค้านอีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา296 วรรคสอง จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่าหมายบังคับคดีให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1แต่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ 2 โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีนั่นเอง กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้นเมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2แล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับรักษาทรัพย์ที่ยึดไว้เองตั้งแต่วันที่5 มีนาคม 2531 โดยไม่โต้แย้งคัดค้าน จนกระทั่งมีการขายทอดตลาดจนเจ้าพนักงานบังคับคดีแบ่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้โจทก์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2535 ซึ่งถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้วจำเลยที่ 2 เพิ่งยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2535ล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิร้องคัดค้านเพื่อให้เพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในการฟ้องของทายาท
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน3คนช. ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ต่อมาปี 2520 ช. จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521 หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท. ไม่ได้เกี่ยวข้อง ท. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช. ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท. ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษ แม้จะไม่ปรากฏว่าท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของช.หรือไม่แต่การที่ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท.เมื่อสิทธิของ ท. ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท. จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีมรดก: สิทธิทายาทขาดอายุความเมื่อไม่ฟ้องภายใน 10 ปีนับจากเจ้ามรดกเสียชีวิต
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของนาย ท. เจ้ามรดกและมีทายาทคือนาง ท. ซึ่งเป็นมารดา กับจำเลยซึ่งเป็นภริยาของเจ้ามรดก ต่อมานาย ท. ถึงแก่ความตาย ที่ดินอันเป็นมรดกในส่วนที่ตกได้แก่นาง ท. จึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรของนาง ท.แต่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายท. ได้โอนทรัพย์มรดกเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ดังนี้ เมื่อนายท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่29มกราคม2521และนางท.ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2531 แม้จะไม่ปรากฏว่านาง ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายท. หรือไม่อันจะฟังว่าขาดอายุความหนึ่งปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่ นาง ท. มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่นาย ท. ถึงแก่ความตายก็ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 1754 วรรคท้าย เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของนาง ท. คดีของโจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมขาดอายุความด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการฟ้องเรียกมรดกและการขาดสิทธิในทรัพย์มรดก
โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของ ท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน 3 คน ช.ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ ต่อมาปี 2520 ช.จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท.ไม่ได้เกี่ยวข้องท.ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท.ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษแม้จะไม่ปรากฏว่า ท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ ช.หรือไม่ แต่การที่ ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท. เมื่อสิทธิของ ท.ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท.จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ชอบฟ้องเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเครื่องที่จำเลยซื้อไปและค้างชำระบางส่วน แต่ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ว่า โจทก์ได้ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะออกน้ำมันเครื่องชนิดใหม่ให้จำเลยเป็นผู้เปิดตลาดและทำการโฆษณาขายให้แก่ลูกค้าของจำเลย แต่โจทก์ไม่ผลิตสินค้าดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยจะฟ้องเป็นคดีต่างหากตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
of 80