คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 219

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 499 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้คดีอาญาเรื่องทำร้ายร่างกาย: การคัดค้านข้อเท็จจริงเกินขอบเขตการฎีกา
การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยทางป้องกันพอสมควรแก่เหตุเช่นนี้ โจทก์จะฎีกาว่าเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุก็เป็นการคัดค้านในข้อเท็จจริงต้องห้าม (อ้างฎีกาที่ 931/2494)
เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยใช้ขวดทำร้ายผู้เสียหาย และศาลอุทธรณ์อาศัยหลักฐานในสำนวนวินิจฉัยต่อไป แต่ไม่ฟังว่าบาดแผลที่หน้าแข้งของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของจำเลย ดังนี้หาใช่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือตรงกันข้ามกับหลักฐานไม่แต่เป็นข้อเท็จจริง โจทก์จะฎีกาหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอาญาแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัยพ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.อาญา ม.254 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง(ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม หากศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม กฎหมายอาญา มาตรา254 จำคุก 2 ปีศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลพลเรือนและการวินิจฉัยข้อเท็จจริงร่วมกันในคดีอาญา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมูลคดีในการไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถือว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันซึ่งตามลักษณะอุทธรณ์ฎีกาลักษณะ 2 มาตรา 219 บัญญัติว่าห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในคดีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2
โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลพลเรือน: คดีร่วมกระทำผิด - ศาลวินิจฉัยจำเลยที่ 2 ไม่ผิดร่วม จึงไม่อำนาจพิจารณา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมูลคดีในการไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถือว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกัน ซึ่งตามลักษณะอุทธรณ์ฎีกาลักษณะ 2 ม.219 บัญญัติว่าห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในดคีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงขัดกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงเดิมหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม ม. 300 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม ม. 254 เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้ โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 219
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/249+)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด
ความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 219
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่า ไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคดีอาญา (ป.วิ.อาญา ม. 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง ก.ม. ว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ป.วิ.อาญา ม. 47)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในคดีอาญาปนแพ่ง: วินิจฉัยสิทธิในทรัพย์สินได้แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ชี้ขาด
ความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่าไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
of 50