คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มนู วงศ์แสงจันทร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 135 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายโดยตรงในคดีฉ้อโกง การฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งแยกต่างหากไม่ถือเป็นความเสียหายโดยตรง
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ให้นำเงินมาชำระและยินยอมให้โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อจึงโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ความเสียหายที่จะได้รับจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรง แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการฉ้อโกงต้องเป็นผลโดยตรง การถูกฟ้องเป็นความเสียหายต่างหาก
ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงจะต้อง ได้ รับความเสียหายอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูก หลอกลวงนั้นโดยตรง การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงโจทก์ และผลการหลอกลวงเป็นเหตุให้จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายนั้น ถึง แม้โจทก์จะได้ รับความเสียหายจากการถูก ฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ และการที่จำเลยได้ ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากฉ้อโกงต้องเป็นผลโดยตรง การฟ้องร้องทางแพ่งไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีอาญา
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์ด้วยวิธีโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ให้นำเงินมาชำระหนี้และยินยอมให้โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อจึงโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ถูกจำเลยที่ 2 ฟ้องเป็นคดีแพ่งข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย ดังนี้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นคดีนี้ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรงแม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกจำเลยที่ 2 ฟ้อง ก็เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ ความเสียหายดังกล่าวมิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากพฤติการณ์และสภาพแวดล้อม
บ้านผู้ตายชั้นบนด้านหน้าเปิดโล่ง ไม่มีฝาผนัง รอบบ้านไม่มีรั้ว สามารถมองเห็นภายในบ้านได้ จากระยะไกล หากจำเลยต้องการทราบเพียงว่าโจทก์อยู่ในบ้านหรือไม่ ย่อมไม่จำเป็นต้อง ทำทีไปขอยาจาก อ. เมื่อ อ. เอายาให้จำเลย จำเลยขอน้ำดื่มกับยาด้วย กรณีอาจเป็นได้ ว่า ขณะที่จำเลยไปขอยานั้น จำเลยป่วยจริงและยังมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่ เมื่อพบผู้ตายอยู่ในบ้าน ความแค้นที่เคยมีต่อ ผู้ตายก็เกิดขึ้นมาอีกในทันทีทันใด จึงกลับไปเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือ ไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดย ไตร่ตรอง ไว้ก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: พฤติการณ์นั่งขวางประตูและไม่ห้ามปรามบ่งชี้ความร่วมมือ
จำเลยบอกผู้เสียหายว่า ป. กับ ย. ต้องการร่วม ประเวณีกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ยินยอม จำเลยจึงลุกขึ้นไปนั่งตรงประตูห้องไว้ไม่ให้คนเปิดประตูมาเห็นเพื่อให้ ป. กับ ย.ข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหาย โดย จำเลยมิได้ห้ามปรามคนทั้งสอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมมือกับ ป.และ ย. เพื่อให้คนทั้งสองข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังนี้ จำเลยเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดีและการรับผิดในสัญญาโฆษณา: การพิสูจน์อำนาจฟ้องและข้อผูกพันตามสัญญา
โจทก์มีตัวผู้รับมอบอำนาจมาสืบประกอบสำเนาหนังสือรับรองการจัดตั้งบริษัทโจทก์ โดยนายทะเบียนบริษัทเมืองฮ่องกงและมีโนตารีปับลิกเมืองฮ่องกงรับรองสำเนาหนังสือรับรองดังกล่าวและมีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้ ป. ดำเนินคดีแทน โดยมีคำรับรองของโนตารีปับลิกเมืองฮ่องกงและกงสุลแห่งประเทศไทยว่าจ. และ อ. กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงนามอย่างเป็นทางการในหนังสือมอบอำนาจและเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ จ. และ อ.จึงเชื่อได้ว่าบริษัทโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ป. ดำเนินคดีนี้จริงหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีและการรับผิดตามสัญญา: หลักฐานการมอบอำนาจและการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
โจทก์มีตัว ผู้รับมอบอำนาจมาสืบประกอบสำเนาหนังสือรับรองการจัดตั้งบริษัทโจทก์โดย นายทะเบียนบริษัทเมืองฮ่องกงและมีโนตารีปับลิก เมืองฮ่องกงรับรองสำเนาหนังสือรับรองดังกล่าวและมีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้ ป. ดำเนิน คดีแทน โดย มีคำรับรองของโนตารีปับลิก เมืองฮ่องกง และกงสุลแห่งประเทศ ไทยว่า จ. และ อ. กรรมการบริษัทโจทก์ได้ ลงนามอย่างเป็นทางการในหนังสือมอบอำนาจและเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ จ. และ อ.จึงเชื่อ ได้ ว่าบริษัทโจทก์ได้ มอบอำนาจให้ ป. ดำเนิน คดีนี้จริงหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 47.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและการฟ้องขับไล่: สิทธิในที่ดินพิพาทเมื่อมีเอกสารรับรองสิทธิของผู้อื่น
ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เพียงบางส่วน จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูนบิดาโจทก์จำเลย ตามหนังสือรับรองที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ทองพูนเอกสารหมาย ล.1 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุกพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญา จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในคดีอาญาศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ทำเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง และคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูน โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนสิทธิบิดาและการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง: กรณีครอบครองเพื่อแบ่งมรดก
ในคดีอาญาแม้ศาลชั้นต้นเพียงแต่ วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกจึงไม่มีความผิด แต่ ศาลชั้นต้นก็ได้ วินิจฉัยข้อเท็จจริงก่อนว่าโจทก์ได้ ทำหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1ว่าบิดาโจทก์ได้ มอบสวนและที่นาพิพาทให้โจทก์เป็นผู้รับรักษาทำกินโดย ไม่ยึดถือเป็นของตน ผู้เดียว แล้วจึงอาศัยข้อความวินิจฉัยถึง เจตนาของจำเลย ถือ ได้ ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ ทำหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริงหรือไม่ เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่ง ต่าง เป็นคู่ความเดียว กันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีก และมีประเด็นโต้เถียง อย่างเดียวกันว่าเอกสารหมาย ล.1 ในคดีอาญานั้นปลอมหรือไม่ ศาลฎีกาจึงต้องถือ ตาม ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จะโต้เถียงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นเอกสารปลอมหาได้ไม่ โจทก์ทำสัญญาไว้กับบิดาโจทก์ว่า บิดาโจทก์ได้ มอบที่สวนและที่นา ซึ่ง เป็นที่พิพาทกับทรัพย์อื่นให้โจทก์เป็นผู้รับรักษาทำกินโดย จะไม่ยึดถือเป็นของตน แต่ ผู้เดียว และจะยอมแบ่งให้น้องทุกคน ดังนี้ ถือ ได้ ว่าเป็นการรับรองสิทธิของบิดาโจทก์ในทรัพย์ดังกล่าว การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาท จึงเป็นการครอบครองแทนบิดาโจทก์เพื่อแบ่งให้น้อง ๆ ต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการยึดถือเพื่อตน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 แม้โจทก์จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและการสิทธิในที่ดิน: การครอบครองเพื่อแบ่งมรดก มิใช่การครอบครองเพื่อตนเอง
ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์คดีนี้จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. บิดาโจทก์จำเลยตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1ที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ท. ศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การบุกรุกตามฟ้องในคดีอาญากับคดีนี้เป็นการบุกรุกในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเป็นการบุกรุกในคราวเดียวกัน การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญาจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงต้องฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3
of 14