พบผลลัพธ์ทั้งหมด 461 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ vs. สัญญารับสภาพหนี้: อายุความ 10 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 168
แม้จะเรียกชื่อเอกสารว่าสัญญารับสภาพหนี้ แต่มีข้อความที่จำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 800,000 บาท และมีหนี้อยู่กับโจทก์ตามมูลหนี้ดังกล่าวจริง กับยอมตกลงผ่อนชำระหนี้400,000 บาท ให้โจทก์เป็นงวด ๆ ส่วนหนี้ที่เหลือให้โจทก์เรียกร้องเอาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เสรีสากลธนกิจ จำกัด เป็นการที่โจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ตั๋วเงินให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีอายุความ 10 ปี และถือเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้นแล้ว
แม้สัญญาจะใช้ชื่อว่า สัญญารับสภาพหนี้ แต่ข้อความในสัญญาว่าจำเลยยอมรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 800,000 บาท และยอมรับว่ามีหนี้ดังกล่าวอยู่กับโจทก์ตามมูลหนี้ดังกล่าวจริง กับยอมชำระให้โจทก์ 400,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวดจนกว่าจะชำระเสร็จ หนี้จำนวนที่เหลือตกลงให้โจทก์เรียกร้องเอาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เสรีสากลธนกิจ จำกัด เห็นได้ชัดว่าเป็นการที่โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้ตั๋วเงินนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้จำเลยชำระหนี้และมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 168 โจทก์บรรยายถึงมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาในฟ้องของโจทก์โดยชัดเจนแล้ว ถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้จัดการมรดก แม้ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย และการถอนผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก แต่ต้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันของผู้ตาย แม้ผู้ร้องจะไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกแต่เมื่อผู้ร้องยังไม่ได้ถูกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีอำนาจกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกซึ่งได้แก่การรวบรวมทรัพย์มรดกแล้วดำเนินการแบ่งปันให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกต่อไปถือได้ว่ากระทำแทนทายาทผู้มีสิทธิและในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคน การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกต้องร่วมกันจัดการและถือเอาเสียงข้างมาก จะจัดการโดยลำพังไม่ได้ หากผู้คัดค้านทั้งสองละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ผู้จัดการมรดกหรือมีเหตุให้เพิกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้จัดการมรดก, การจัดการทรัพย์มรดก, และสิทธิในการถอนผู้จัดการมรดก
ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพียงไม่เป็นบุคคลซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 แล้วก็อาจถูกร้องขอต่อศาลให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกได้ เมื่อผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้ร้องก็มีอำนาจกระทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกซึ่งได้แก่การรวบรวมทรัพย์มรดกแล้วดำเนินการแบ่งปันให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกต่อไป ในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคน การทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต้องร่วมกันจัดการและถือเอาเสียงข้างมาก จะจัดการโดยลำพังไม่ได้หากผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำการตามหน้าที่หรือมีเหตุให้ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้คัดค้านทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ และหากมีเหตุอันเกิดจากฝ่ายผู้ร้องในทำนองเดียวกันผู้คัดค้านทั้งสองก็มีสิทธิดังกล่าวเช่นเดียวกันกับผู้ร้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องภายหลังที่ผู้ร้องสืบพยานได้เพียง 2 ปาก ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองจึงยังฟังไม่ได้ว่ามีเหตุต้องถอนฝ่ายใดจากการเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ศาลชั้นต้นจึงไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานดังกล่าวควรสืบพยานต่อไปให้เสร็จสิ้นกระแสความแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนของกลางที่ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ผู้ร้องมีสิทธิได้รับคืน
ในคดีร้องขอคืนของกลาง เมื่อได้ความว่าโทรทัศน์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด ซึ่งศาลไม่มีอำนาจสั่งริบ จึงต้องคืนโทรทัศน์ของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนของกลางในคดีพนัน ผู้ร้องเป็นเจ้าของและของกลางไม่ได้ใช้ในการกระทำผิด ศาลฎีกายืนคืนของกลาง
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน (ชั้นขอคืนของกลาง) ++
++ โจทก์ฎีกา ++
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ
++ แจ้งการอ่านแล้ว / โปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++
ในคดีร้องขอคืนของกลาง เมื่อได้ความว่าโทรทัศน์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งศาลไม่มีอำนาจสั่งริบ จึงต้องคืนโทรทัศน์ของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของ
++ โจทก์ฎีกา ++
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ
++ แจ้งการอ่านแล้ว / โปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++
ในคดีร้องขอคืนของกลาง เมื่อได้ความว่าโทรทัศน์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งศาลไม่มีอำนาจสั่งริบ จึงต้องคืนโทรทัศน์ของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 329/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากคำให้การของผู้เสียหายและการชี้ตัวผู้ต้องหา แม้พยานหลักฐานจะขัดแย้งกันในภายหลัง
ผู้เสียหายถูกคนร้ายจับตัวไปควบคุมอยู่ 1 เดือน 3 วัน จึงหลบหนีมาแจ้งความให้การระบุชื่อ คนร้ายไว้ ต่อมาไม่นานจำเลยถูกจับกุม ผู้เสียหายก็ชี้ ตัวยืนยันว่าเป็นคนร้าย ครั้งภายหลัง15 ปี จำเลยถูกดำเนินคดีโดยจัดให้ผู้เสียหายมาชี้ ตัวซ้ำอีก แม้ครั้งหลังนี้ผู้เสียหายไม่ยืนยัน แต่การที่จำเลยยอมรับว่าเคยถูกชี้ ตัวมาแล้วครั้งหนึ่งและเคยให้การรับสารภาพว่าร่วมปล้นทรัพย์กับจับตัวผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่จริง ข้อเท็จจริงเช่นนี้เพียงพอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์บ้านพิพาท: การสร้างบนที่ดินผู้อื่นและหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของ
ปัญหาที่ว่า บ้านพิพาทปลูกสร้างบนที่ดินของผู้ร้องที่ 2 ในลักษณะถาวรเป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันนั้น ผู้ร้องทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้คงวินิจฉัยให้เฉพาะพยานหลักฐานอื่นที่แสดงว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสองหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในบ้านและเสาโทรทัศน์: การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของจากพยานหลักฐานและฐานะทางเศรษฐกิจ
ประเด็นว่าบ้านพิพาทปลูกสร้างลงไว้ในที่ดินของผู้ร้องที่ 2ในลักษณะถาวร เป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองนั้น เมื่อผู้ร้องมิได้ยกประเด็นขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งประเด็นข้อนี้ก็มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเฉลี่ยหนี้จากทรัพย์สินที่ได้จากการบังคับคดีและการพิจารณาความเพียงพอของทรัพย์สินอื่นในการชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยในเงินบำเหน็จอันเนื่องมาจากการลาออกของลูกหนี้ว่า จำเลยมีทรัพย์สินเพียงเงินเดือน บำเหน็จและโบนัส เท่านั้น จำเลยได้ลาออกจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งจะได้บำเหน็จและโบนัสประจำปีกับเงินเดือนก่อนที่จะลาออกจากงานและองค์การโทรศัพท์ฯ จัดส่งเงินจำนวนดังกล่าวมาให้แล้ว ตามคำร้องดังกล่าวแสดงว่าผู้ร้องประสงค์ขอเฉลี่ยในเงินดังกล่าวอันเนื่องมาจากลูกหนี้ลาออกจากงาน ดังนั้น เมื่อปรากฎว่าโจทก์ได้ขออายัดเงินรายเดียว แต่มีการทยอยส่งมาหลายงวด คำขอเฉลี่ยของผู้ร้องย่อมคลุมถึงเงินที่ส่งมาให้ทุกงวด โดยไม่ต้องยื่นคำขอซ้ำเข้ามาอีก ผู้ร้องนำสืบแล้วว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก ดังนั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นอยู่ โดยไม่นำสืบว่าทรัพย์สินดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้ผู้ร้องหรือไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยได้.