คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชุม สุกแสงเปล่ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 461 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดจากรายงานน้ำหนักสินค้าคลาดเคลื่อน ผู้รับจ้างขนส่งรู้ทันทีแต่เพิ่งฟ้องภายหลัง
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก ๕,๐๐๐ เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้า โดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือ กับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่า สินค้ามีน้ำหนัก ๔,๙๗๖ เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่า เมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป ๔๗๒ เมตริกตัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้ว เรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการ ขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอย ถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมี ความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลย แจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาด ถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบ ข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดี ว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๗ จึงพ้นกำหนด ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับเมื่อใด เมื่อโจทก์ทราบถึงการกระทำละเมิดและผู้กระทำ
โจทก์ทราบถึง เหตุที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้าว่าเพราะจำเลยคำนวณและรายงานน้ำหนักสินค้าผิดพลาด ถือ ได้ ว่าโจทก์รู้ถึง การละเมิดของจำเลยแล้วการที่โจทก์ว่าจ้างบริษัท ว. ทำการตรวจสอบในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดอย่างไรเพื่อนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้ถึง การละเมิดและตัวผู้จะพึงต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
โจทก์ทราบถึงเหตุที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้าว่าเป็นเพราะจำเลยคำนวณและรายงานน้ำหนักสินค้าผิดพลาด ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยแล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างบริษัท ว.ทำการตรวจสอบในภายหลังนั้น เป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดอย่างไร เพื่อนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและผู้กระทำละเมิด
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก 5,000เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้าโดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือกับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่าสินค้ามีน้ำหนัก 4,976 เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป 472 เมตริกตันข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้วเรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอยถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมีความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือเดือนมิถุนายน 2525 แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดีว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527 จึงพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและการสิทธิในที่ดิน: การครอบครองเพื่อแบ่งมรดก มิใช่การครอบครองเพื่อตนเอง
ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์คดีนี้จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. บิดาโจทก์จำเลยตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1ที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ท. ศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การบุกรุกตามฟ้องในคดีอาญากับคดีนี้เป็นการบุกรุกในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเป็นการบุกรุกในคราวเดียวกัน การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญาจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงต้องฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนสิทธิบิดาและการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง: กรณีครอบครองเพื่อแบ่งมรดก
ในคดีอาญาแม้ศาลชั้นต้นเพียงแต่ วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกจึงไม่มีความผิด แต่ ศาลชั้นต้นก็ได้ วินิจฉัยข้อเท็จจริงก่อนว่าโจทก์ได้ ทำหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1ว่าบิดาโจทก์ได้ มอบสวนและที่นาพิพาทให้โจทก์เป็นผู้รับรักษาทำกินโดย ไม่ยึดถือเป็นของตน ผู้เดียว แล้วจึงอาศัยข้อความวินิจฉัยถึง เจตนาของจำเลย ถือ ได้ ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ ทำหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริงหรือไม่ เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่ง ต่าง เป็นคู่ความเดียว กันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีก และมีประเด็นโต้เถียง อย่างเดียวกันว่าเอกสารหมาย ล.1 ในคดีอาญานั้นปลอมหรือไม่ ศาลฎีกาจึงต้องถือ ตาม ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จะโต้เถียงว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นเอกสารปลอมหาได้ไม่ โจทก์ทำสัญญาไว้กับบิดาโจทก์ว่า บิดาโจทก์ได้ มอบที่สวนและที่นา ซึ่ง เป็นที่พิพาทกับทรัพย์อื่นให้โจทก์เป็นผู้รับรักษาทำกินโดย จะไม่ยึดถือเป็นของตน แต่ ผู้เดียว และจะยอมแบ่งให้น้องทุกคน ดังนี้ ถือ ได้ ว่าเป็นการรับรองสิทธิของบิดาโจทก์ในทรัพย์ดังกล่าว การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาท จึงเป็นการครอบครองแทนบิดาโจทก์เพื่อแบ่งให้น้อง ๆ ต่อไป เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการยึดถือเพื่อตน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 แม้โจทก์จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและการฟ้องขับไล่: สิทธิในที่ดินพิพาทเมื่อมีเอกสารรับรองสิทธิของผู้อื่น
ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เพียงบางส่วน จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูนบิดาโจทก์จำเลย ตามหนังสือรับรองที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ทองพูนเอกสารหมาย ล.1 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุกพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญา จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในคดีอาญาศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ทำเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง และคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูน โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองแทน vs. การได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง, คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้เพียงบางส่วน จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูนบิดาโจทก์จำเลย ตามหนังสือรับรองที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ทองพูนเอกสารหมาย ล.1 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุกพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3ในคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญา จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในคดีอาญาศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ทำเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง และคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ทองพูน โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบหักล้างข้อกล่าวหาการขาดหายของสินค้า การนำสืบต้องอยู่ในประเด็นที่ได้ต่อสู้ไว้
โจทก์ฟ้องว่าสินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้ขาดหายไปในระหว่างการขนส่ง จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมทอดหนึ่งจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าสินค้ามิได้ขาดหาย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมในทอดสุดท้ายจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ดังนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าสินค้าตามฟ้องได้ขาดหายไปในระหว่างเก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น เป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าสินค้ามิได้ขาดหายในระหว่างขนส่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคำให้การนั่นเอง หาเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบข้อเท็จจริงการขาดหายของสินค้า การนำสืบไม่เป็นการนอกคำให้การหากเกี่ยวข้องกับการต่อสู้คดี
โจทก์ฟ้องว่าสินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้ขาดหายไปในระหว่างการขนส่ง จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมทอดหนึ่งจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าสินค้ามิได้ขาดหาย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมในทอดสุดท้ายจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ดังนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าสินค้าตามฟ้องได้ขาดหายไปในระหว่างเก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น เป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าสินค้ามิได้ขาดหายในระหว่างขนส่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคำให้การนั่นเอง หาเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นไม่.
of 47