พบผลลัพธ์ทั้งหมด 153 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานอาศัยหน้าที่ทุจริตเบียดบังทรัพย์ของกลาง แม้ไม่มีหน้าที่ดูแลโดยตรง
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 ผู้กระทำผิดต้องมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นโดยทุจริต จำเลยที่ 1เป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายตรวจ มิได้มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเลื่อยยนต์ของกลางซึ่งนายดาบตำรวจ ส.เป็นผู้เก็บรักษา การที่จำเลยที่ 1 ลักเลื่อยยนต์ดังกล่าวไปจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เวรยามและสายตรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาสิ่งของต่าง ๆ ในบริเวณสถานีตำรวจ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งโดยชอบให้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางที่สถานีตำรวจด้วย การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสดังกล่าวลักเลื่อยยนต์ของกลางไปขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามป.อ. มาตรา 157.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ทุจริตลักทรัพย์ของกลาง แม้ไม่มีหน้าที่ดูแลโดยตรงแต่ได้รับคำสั่งให้ดูแลทรัพย์สิน
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สายตรวจเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจยึดเลื่อยยนต์ เป็นของกลางและมอบให้นายดาบตำรวจ ส. เป็นผู้เก็บรักษาไว้แล้ว จำเลยที่ 1 หาได้มีหน้าที่จัดการหรือรักษาเลื่อยยนต์ ของกลางโดยตรงไม่ แม้จำเลยที่ 1จะเป็นผู้นำเลื่อยยนต์ ดังกล่าวไปขาย ก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่เวรยามและสายตรวจซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาสิ่งของต่าง ๆ ในบริเวณสถานีตำรวจ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งโดยชอบให้ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางที่สถานีตำรวจด้วย การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสดังกล่าวลักเลื่อยยนต์ ของกลางซึ่งอยู่ในความดูแลตามหน้าที่ไปขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท การเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดก และอำนาจของศาลในการบังคับเจ้าพนักงานที่ดิน
ที่โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียวใน น.ส.3 ที่พิพาทเป็นคำขอเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินเป็นบุคคลภายนอก และกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันบุคคลภายนอกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจสั่งเพื่อบังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้กระทำการตามที่โจทก์ประสงค์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาพยานหลักฐานไม่เพียงพอ โจทก์ต้องพิสูจน์ความผิดจำเลยโดยปราศจากข้อสงสัย
ในคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบให้ปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด เมื่อคดีมีปัญหาว่าถ้อยคำที่จำเลยให้การต่อเจ้าพนักงานว่า บ. เป็นบุตรของ ค. นั้นเป็นเท็จหรือไม่ โดยโจทก์มี พ.เท่านั้นที่เบิกความว่า บ.ที่จำเลยพามาให้ดูไม่ใช่บุตรของ ค.กับว. พยานโจทก์นอกจากนี้ก็มีแต่คำให้การที่เจ้าพนักงานบันทึกไว้ มิได้นำพยานบุคคลมาสืบประกอบ จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าวได้พยานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5968/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดหลายกรรมต่างกันจากอาวุธปืน และอำนาจศาลในการสั่งริบของกลาง
การที่จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ ป. จนทำให้ตก ใจกลัว เป็นการกระทำที่มีเจตนาแยกจากกันได้ เป็นความผิดต่างกรรม ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) คำพิพากษาต้องมีคำวินิจฉัยเรื่องของกลางด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลางที่ใช้กระทำผิด และท้ายฟ้องมีคำขอให้ศาลริบอาวุธปืนของกลางด้วย ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยเรื่องอาวุธปืนของกลางและไม่สั่งริบอาวุธปืนอันเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ เสียให้ถูกต้องได้.
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) คำพิพากษาต้องมีคำวินิจฉัยเรื่องของกลางด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลางที่ใช้กระทำผิด และท้ายฟ้องมีคำขอให้ศาลริบอาวุธปืนของกลางด้วย ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยเรื่องอาวุธปืนของกลางและไม่สั่งริบอาวุธปืนอันเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ เสียให้ถูกต้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5968/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดต่างกรรมกัน และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งริบของกลาง แม้โจทก์ไม่เคยอุทธรณ์
การที่จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ ป. จนทำให้ตก ใจกลัว เป็นการกระทำที่มีเจตนาแยกจากกันได้ เป็นความผิดต่างกรรม ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) คำพิพากษาต้องมีคำวินิจฉัยเรื่องของกลางด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลางที่ใช้กระทำผิด และท้ายฟ้องมีคำขอให้ศาลริบอาวุธปืนของกลางด้วย ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยเรื่องอาวุธปืนของกลางและไม่สั่งริบอาวุธปืนอันเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ เสียให้ถูกต้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5875/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีอาญา: องค์ประกอบความผิดไม่เข้าข่าย & โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 342,265,268ซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกินกว่า 3 ปี แต่โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานฉ้อโกงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 342 ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 265,268 ได้เช่นกัน คงเหลือความผิดฐานอื่นซึ่งมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นคดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5724/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการพิจารณาคดีใหม่หลังขาดนัด - การพิจารณาเจตนาการขาดนัดและผลกระทบต่อสิทธิในการให้การ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 บัญญัติให้สิทธิจำเลยที่ขาดนัดพิจารณาสาบานตนเข้าเบิกความเป็นพยาน และถามค้านพยานโจทก์ได้ หากการขาดนัดพิจารณาของจำเลยเป็นไปโดยไม่จงใจ และศาลอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ และแม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจก็ตาม ในการไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลจึงต้องวินิจฉัยด้วยว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่ เพื่อสิทธิตามกฎหมายของจำเลย
การที่จำเลยไปศาลแต่ไม่ยอมเข้าไปในห้องพิจารณาเองโดยไม่มีใครห้าม ต้องถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่
การที่จำเลยไปศาลแต่ไม่ยอมเข้าไปในห้องพิจารณาเองโดยไม่มีใครห้าม ต้องถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5577/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินไม่ปิดอากรแสตมป์ ไม่กระทบการรับฟังเป็นพยานหลักฐาน สิทธิครอบครองย้ายตามการโอน
ประมวลรัษฎากรไม่ได้บังคับว่าสัญญาซื้อขายจะต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้น แม้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟัง เป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5577/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินไม่ปิดอากรแสตมป์ ไม่เป็นเหตุให้สัญญาเป็นโมฆะ การโอนการครอบครองที่ดินมีผลทางกฎหมาย
ประมวลรัษฎากรไม่ได้บังคับว่าสัญญาซื้อขายจะต้องปิดอากรแสตมป์ดังนั้น แม้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะไม่ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118