พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิขอหลักประกันคืนและการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอหลักประกันคืนต่อศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงของจำเลย จำเลยจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นมายังศาลฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิขอหลักประกันคืนหลังฎีกา: อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่ศาลฎีกา
การที่จำเลยยื่นคำแถลงขอหลักประกันคืนต่อศาลชั้นต้น แม้เป็นการยื่นหลังจากคู่ความยื่นฎีกาแล้ว ก็เป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 251 ซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติว่าถ้าศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรแล้วให้คู่ความอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาได้เลย ฉะนั้นเมื่อจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นชอบที่จะอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 จะอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งขายทอดตลาดต้องทำตามลำดับชั้นศาล การฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นจึงไม่รับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลชั้นต้นผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยื่นคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การฟ้องร้องบังคับคดี และความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งกำหนดให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาได้นั้น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดจำกัดไว้ว่าอนุญาตได้เฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น ผู้พิพากษาดังกล่าวจึงมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4925/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดเบี้ยปรับในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา: ศาลมีอำนาจลดค่าปรับที่สูงเกินส่วนโดยคำนึงถึงความเสียหายที่แท้จริง
จำเลยทำสัญญาประกันตัว อ. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนไปจากพนักงานสอบสวน โดยตอนแรกพนักงานสอบสวนได้กำหนดค่าปรับกรณีผิดสัญญาประกันไว้เป็นเงิน150,000 บาท และคดีนั้นผู้เสียหายกับพวกเท่าที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนไปแล้วได้รับความเสียหายเป็นเงิน 164,000บาท ส่วนผู้เสียหายที่เหลือไม่ปรากฎว่าได้รับความเสียหายเท่าใดการที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนกำหนดค่าปรับเมื่อผิดสัญญาเป็นเงิน 328,000 บาท เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบทางได้เสียหายของโจทก์แล้ว เป็นการกำหนดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4925/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับผิดสัญญาประกันตัวสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดได้ตามกฎหมาย
จำเลยทำสัญญาประกันตัว อ.ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนไปจากพนักงานสอบสวน โดยตอนแรกพนักงานสอบสวนได้กำหนดค่าปรับกรณีผิดสัญญาประกันไว้เป็นเงิน 150,000 บาท และคดีนั้นผู้เสียหายกับพวกเท่าที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนไปแล้วได้รับความเสียหายเป็นเงิน164,000 บาท ส่วนผู้เสียหายที่เหลือไม่ปรากฏว่าได้รับความเสียหายเท่าใดการที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนกำหนดค่าปรับเมื่อผิดสัญญาเป็นเงิน 328,000 บาทเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบทางได้เสียหายของโจทก์แล้ว เป็นการกำหนดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4914/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วม ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์ผู้รับจำนองไม่ทราบถึงการที่ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของและไม่ได้ยินยอมให้นำที่พิพาทส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วยเนื่องจาก ป.ผู้จำนองมิได้แจ้งให้ทราบ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของป.ถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนองได้แล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่ ป.นำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนอง โดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้ร้องนั้นหากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่ ป. หรือทายาทของป. เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะมาร้องขอกันส่วนให้บังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4905/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาอำนาจอุทธรณ์คดีอาญาตามมาตรา 193 ทวิ ต้องดูที่โทษตามที่โจทก์ขอลงโทษ
คำฟ้องโจทก์บรรยายชัดว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352,353,354,83 ซึ่งความผิดตามมาตรา 354,83 นั้นมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และการพิจารณาว่าคดีอาญาเรื่องใดต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ หรือไม่ ย่อมต้องดูที่อัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ ส่วนอัตราโทษที่ศาลจะนำมาใช้จริง หาใช่ข้อที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4905/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาข้อห้ามอุทธรณ์ในคดีอาญา ต้องพิจารณาจากอัตราโทษที่โจทก์ขอลงโทษเป็นสำคัญ ไม่ใช่โทษที่ศาลใช้
การพิจารณาว่าคดีอาญาเรื่องใดต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิหรือไม่ ย่อมต้องดูที่อัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ ส่วนอัตราโทษที่ศาลจะนำมาใช้จริง ไม่ใช่ข้อที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนและจำนองในคดีล้มละลาย และขอบเขตความรับผิดของผู้รับจำนองเมื่อไม่สามารถกลับสู่ฐานะเดิม
การร้องขอเพิกถอนการโอนหรือการกระทำตามมาตรา 114แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นอำนาจของผู้ร้องโดยเฉพาะที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่ง เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคน และประชาชนเพื่อที่ผู้ร้องจะจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินในคดีล้มละลายต่อไป การที่ผู้ร้องขออนุญาตแก้ไขคำร้องเดิมโดยเพิ่มคำว่า "สิ่งปลูกสร้าง" ลงในส่วนคำขอท้ายคำร้องขอเพิกถอนนั้น จึงเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขก่อนวันสืบพยานและเมื่อผู้คัดค้านไม่หลงผิดในคำร้องเดิมโดยได้คัดค้านและนำสืบพยานไว้แล้ว ผู้คัดค้านย่อมไม่เสียเปรียบและไม่จำต้องส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขเพื่อให้คัดค้านและนำสืบอีก การที่ผู้ร้องนำสืบว่า พ.เป็นตัวแทนของลูกหนี้ซื้อที่ดินแทนลูกหนี้นั้นเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงระหว่างกันในกรณีเป็นตัวแทนไม่ใช่นำสืบในข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาหรือเกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาจะขายที่ดินโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลกรณี จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ประกอบพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจำนองแล้ว ก็เท่ากับไม่มีการจำนองรายที่ถูกเพิกถอนอีกต่อไป คู่กรณีตามสัญญาจำนองย่อมกลับสู่ฐานะเดิมเสมือนไม่มีการจำนองกัน ไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องสั่งให้มีการชดใช้ราคาทรัพย์ในกรณีที่ไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมอีก