คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวิน อักขรายุธ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุไม่สมควรให้ล้มละลาย: พิจารณาฐานะหนี้สิน ผลกระทบต่อครอบครัว และโอกาสชำระหนี้ในอนาคต
การที่โจทก์ตกลงรับชำระหนี้จาก ก. และ ส. ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยจำนวน 900,000 บาท แล้วยอมถอนการยึดทรัพย์ให้ ก. และ ส. และตกลงไม่เรียกร้องให้คนทั้งสองชำระหนี้อีกต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม จะถือเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่
จำเลยมีรายได้น้อยและไม่อยู่ในฐานะที่อาจชำระหนี้โจทก์ได้แต่การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีเงินเดือน มีโบนัสและสามารถส่งเสียบุตรให้เรียนหนังสือได้ทุกเดือน ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีฐานะทางการงานมั่นคง ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ก็เนื่องมาจากเข้าค้ำประกันหนี้เกี่ยวกับการค้าของสามี ไม่ใช่เพราะประพฤติชั่วหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเกินฐานะ และไม่ปรากฎว่าจำเลยมีเจ้าหนี้รายอื่นอีก หากพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย จำเลยก็จะถูกให้ออกจากงาน หมดอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน และไม่สามารถส่งเสียบุตรให้ได้รับการศึกษาต่อไปทรัพย์สินของจำเลยก็จะยังคงไม่มีพอที่จะรวบรวมมาชำระหนี้โจทก์ ครอบครัวของจำเลยจะตกอยู่ในสภาพแพแตกและหมดที่พึ่ง ไม่บังเกิดผลดีแก่ทั้งโจทก์และสังคมส่วนรวม โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วประมาณร้อยละ 78 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด ต่อไปหากจำเลยมีหน้าที่การงานดีขึ้น มีภาระทางครอบครัวน้อยลงและไม่ตกเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ก็ยังมีโอกาสบังคับคดีในหนี้ที่เหลือจากจำเลยได้ไม่มากก็น้อยซึ่งจะบังเกิดผลดีแก่โจทก์ยิ่งกว่าการที่จะให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลาย กรณีเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุไม่สมควรให้ล้มละลาย: พิจารณาฐานะทางการงาน, การค้ำประกันหนี้, และผลกระทบต่อครอบครัว
การที่โจทก์ตกลงรับชำระหนี้จาก ก. และ ส. ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยจำนวน 900,000 บาท แล้วยอมถอนการยึดทรัพย์ให้ ก. และ ส. และตกลงไม่เรียกร้องให้คนทั้งสองชำระหนี้อีกต่อไปนั้น ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม จะถือเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายหาได้ไม่ จำเลยมีรายได้น้อยและไม่อยู่ในฐานะที่อาจชำระหนี้โจทก์ได้แต่การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีเงินเดือน มีโบนัสและสามารถส่งเสียบุตรให้เรียนหนังสือได้ทุกเดือน ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีฐานะทางการงานมั่นคง ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ก็เนื่องมาจากเข้าค้ำประกันหนี้เกี่ยวกับการค้าของสามีไม่ใช่เพราะประพฤติชั่วหรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกินฐานะและไม่ปรากฎว่าจำเลยมีเจ้าหนี้รายอื่นอีก หากพิพากษาให้ให้จำเลยล้มละลาย จำเลยก็จะถูกให้ออกจากงาน หมดอำนาจในการจัดการทรัพย์สิน และไม่สามารถส่งเสียบุตรให้ได้รับการศึกษาต่อไปทรัพย์สินของจำเลยก็จะยังคงไม่มีพอที่จะรวบรวมมาชำระหนี้โจทก์ ครอบครัวของจำเลยจะตกอยู่ในสภาพแพแตกและหมดที่พึ่ง ไม่บังเกิดผลดีแก่ทั้งโจทก์และสังคมส่วนรวมโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้วประมาณร้อยละ 78 ของจำนวนหนี้ทั้งหมดต่อไปหากจำเลยมีหน้าที่การงานดีขึ้น มีภาระทางครอบครัวน้อยลงและไม่ตกเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ก็ยังมีโอกาสบังคับคดีในหนี้ที่เหลือจากจำเลยได้ไม่มากก็น้อยซึ่งจะบังเกิดผลดีแก่โจทก์ยิ่งกว่าการที่จะให้จำเลยตกเป็นบุคคลล้มละลาย กรณีเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุพยานเพิ่มเติมในคดีล้มละลาย: ศาลมีอำนาจรับฟังได้หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการ
จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเพื่อจะนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างคำพยานโจทก์และให้เห็นว่าตนมีทรัพย์สินซึ่งมีราคาพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือไม่ควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดี และพยานหลักฐานดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าว ก็มีอำนาจที่จะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งในชั้นนี้และในกรณีนี้หมายถึงมีอำนาจอนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติม และทำการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้เอง ส่วนการสืบพยานที่จะกระทำต่อไปนั้น คู่ความยังคงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกระบวนพิจารณาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 หรือมาตรา 89 เป็นต้นแล้วแต่กรณี วิธีการนำสืบพยานหลักฐานในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่มาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483บัญญัติไว้ว่าในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้ ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 นั้น มิได้หมายความว่าศาลจำต้องรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบโดยวิธีที่มิชอบด้วยกฎหมาย เอกสารแสดงการตีราคาทรัพย์สินที่บริษัทเอกชนทำขึ้นซึ่งจำเลยนำมาเป็นพยานหลักฐานด้วยการถ่ายสำเนามาโดยไม่มีต้นฉบับมาแสดงและโจทก์จำเลยมิได้ตกลงกันว่าสำเนาเอกสารฉบับดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้นำสำเนามาสืบเนื่องจากต้นฉบับหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นและมิใช่สำเนาเอกสารที่อยู่ในความอารักขาของทางราชการที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรับรองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 แต่อย่างใดยิ่งกว่านั้นการนำสืบเอกสารดังกล่าวของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์ที่นำสืบถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่กฎหมายสันนิษฐานว่า มีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ในเวลาที่พยานโจทก์เบิกความ จำเลยหาได้นำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านเพื่อให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายข้อความในเอกสารดังที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 กำหนดไว้ไม่ เอกสารดังกล่าวจึงเข้าสู่การพิจารณาของศาลโดยมิชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เมื่อโจทก์ได้คัดค้านแล้วดังนั้น เอกสารและคำพยานที่เกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว จึงเป็นเอกสารและคำพยานที่ต้องห้าม จะรับฟังหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4764/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการนำสืบพยานเพิ่มเติมในคดีล้มละลาย & การเพิกถอนการโอนสิทธิเช่าโดยสุจริต
การที่คู่กรณีฝ่ายใดได้ให้ถ้อยคำหรือแสดงพยานหลักฐานอย่างใดต่อผู้ร้องในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้แล้ว เมื่อมีปัญหาเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล คู่กรณีฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงในประเด็นนั้น ๆ ได้ แม้จะเป็นการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงก็ตาม หามีกฎหมายห้ามไว้ไม่ เมื่อกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการสืบพยานหลักฐานเป็นไปโดยชอบแล้วพยานหลักฐานที่นำสืบก็ย่อมรับฟังได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านรับโอนสิทธิการเช่าอาคารและที่ดินราชพัสดุมาจากลูกหนี้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจึงไม่เป็นกรณีที่จะเพิกถอนการโอนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4695/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ข้อโต้แย้งเรื่องสถานที่เกิดเหตุและอำนาจสอบสวน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1)(3)ลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยให้จำคุก 2 เดือน มิได้แก้บทกฎหมายที่จำเลยกระทำความผิดเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาจำเลยในปัญหาเรื่องอำนาจสอบสวนนั้นเหตุที่จำเลยอาศัยเป็นหลักแห่งข้อโต้แย้งคือ จำเลยมีพยานรู้เห็นว่าจำเลยได้มอบเช็คพิพาทให้แก่ ป. มิใช่ให้แก่โจทก์ร่วม ดังนั้น สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งอยู่ในท้องที่การสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลพญาไท หาใช่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนซึ่งเป็นท้องที่ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายโดยตรง การร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลสามเสนไม่มีอำนาจสอบสวนฎีกาจำเลยดังกล่าวนี้มีเนื้อหาสาระเป็นการโต้แย้งข้อวินิจฉัยของศาลในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยตรงหรือไม่ ท้องที่เกิดเหตุเป็นท้องที่ใดเป็นหลักส่วนเรื่องอำนาจสอบสวนเป็นเพียงผลสรุปแห่งข้อโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวเท่านั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4615/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของทนายเมื่อเสมียนทนายจดวันนัดผิดพลาด ไม่เป็นเหตุสมควรให้ศาลยกคดีขึ้นไต่สวนใหม่
โจทก์ทราบวันนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เมื่อถึงกำหนดวันและเวลานัดโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า การที่โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดเป็นเพราะความบกพร่องหรือประมาทเลินเล่อของเสมียนทนายโจทก์ที่จดวันนัดให้ทนายโจทก์ผิดก็ตามก็ไม่ใช่เหตุสมควรที่โจทก์มาศาลไม่ได้ตามบทบัญญัติของมาตรา 166 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4609/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้ศาลยกฟ้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด
จำเลยกับผู้ร้องนั่งไปด้วยกันในรถยนต์คันของกลางและถูกจับพร้อมกันในข้อหาทำไม้และมีไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ผู้ร้องหลบหนีในขณะที่ถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดีที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดกับจำเลย ก็ปรากฏว่าเป็นการยกฟ้องเพราะมีเหตุสงสัยว่าผู้ร้องอาจจะไม่ได้ร่วมกระทำความผิดเท่านั้น มิใช่เหตุผลที่จะแสดงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4584/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้ล้มละลายคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์สิน หากราคาต่ำกว่าราคาตลาด และการเพิกถอนการขายทอดตลาด
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมถือว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 คือผู้ล้มละลายย่อมมีอำนาจร้องคัดค้านการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ หากการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับความเสียหายตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 2ตาม มาตรา 22 คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและทำการขายทอดตลาดใหม่ โดยอ้างเหตุว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ผิดพลาดทำให้ขายทอดตลาดได้ในราคาต่ำแม้จะมิได้บรรยายว่าตนได้รับความเสียหายอย่างไรมาในคำร้องก็ถือเป็นคำร้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 146 แล้ว กรณีมิใช่เรื่องการดำเนินการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง มาใช้บังคับแก่การร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีล้มละลายนี้ได้ แม้การขายทอดตลาดทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยชอบแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายทอดตลาดราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายให้ผู้ซื้อทรัพย์แม้จะสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีในขณะยึด แต่ก็ต่ำกว่าราคาที่สำนักงานวางทรัพย์กรมบังคับคดีประเมินไว้ ย่อมแสดงว่าราคาขายทอดตลาดดังกล่าวต่ำกว่าราคาขายในท้องตลาดมาก เมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งนี้ เป็นการขายทอดตลาดครั้งแรกและจำเลยที่ 1ที่ 2 ได้คัดค้านว่าราคาต่ำไป กรณีจึงไม่ควรด่วนขาย สมควรเลื่อนการขายทอดตลาดไปก่อน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าสู้ราคาได้อีก หากได้ราคาสูงกว่าเดิมก็จะเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และเจ้าหนี้ทั้งปวงที่จะได้รับชำระหนี้โดยทั่วกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4584/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีล้มละลาย หากราคาต่ำกว่าท้องตลาด จำเลยมีสิทธิคัดค้านได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมถือว่า การขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 คือผู้ล้มละลายย่อมมีอำนาจร้องคัดค้านการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ หากการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับความเสียหายตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 146 กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตาม มาตรา 22
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและทำการขายทอดตลาดใหม่ โดยอ้างเหตุว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์ผิดพลาดทำให้ขายทอดตลาดได้ในราคาต่ำแม้จะมิได้บรรยายว่าตนได้รับความเสียหายอย่างไรมาในคำร้องก็ถือเป็นคำร้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 146แล้ว กรณีมิใช่เรื่องการดำเนินการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ป.วิ.พ.จึงไม่อาจนำ ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง มาใช้บังคับแก่การ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีล้มละลายนี้ได้
แม้การขายทอดตลาดทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยชอบแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ขายทอดตลาดราคาที่เจ้าพนักงานบังนับคับคดีตกลงขายให้ผู้ซื้อทรัพย์ แม้จะสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีในขณะยึด แต่ก็ต่ำกว่าราคาที่สำนักงานวางทรัพย์กรมบังคับคดีประเมินไว้ ย่อมแสดงว่า ราคาขายทอดตลาดดังกล่าวตำกว่าราคาขายในท้องตลาดมาก เมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งนี้ เป็นการขายทอดตลาดครั้งแรกและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้คัดค้านว่าราคาต่ำไป กรณีจึงไม่ควรด่วนขาย สมควรเลื่อนการขายทอดตลาดไปก่อน เพื่อให้ผู้มีส่วได้เสียและประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าสู้ราคาได้อีก หากได้ราคาสูงกว่าเดิมก็จะเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และเจ้าหนี้ทั้งปวงที่จะได้รับชำระหนี้โดยทั่วกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4562/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและการรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
การที่ ศ. ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับเจ้าหนี้ซึ่งนอกจากจะมีข้อความระบุว่าเป็นการค้ำประกันหนี้เงินกู้ที่ลูกหนี้ที่ 1กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ยืมและบันทึกข้อความต่อท้ายสัญญากู้ยืมแล้ว ตอนท้ายของสัญญาค้ำประกันดังกล่าวยังระบุด้วยว่าผู้ค้ำประกันสมัครใจค้ำประกันหนี้สินอื่น ๆ ทุกชนิด และทุกประเภทของผู้กู้ ทั้งที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นในภายหน้าอันพึงมีต่อผู้ให้กู้ และ/หรือในนิติกรรมสัญญาใด ๆ ที่ผู้กู้ได้ทำไว้กับผู้ให้กู้ทั้งหมดจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระหนี้ถูกต้องครบถ้วนด้วยดังนั้น เมื่อลูกหนี้ที่ 1 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้อันดับที่ 2และอันดับที่ 3 ไว้ต่อเจ้าหนี้ย่อมต้องถือว่า ศ. ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวด้วย เมื่อ ศ. นำเงินไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยมิได้ระบุว่าชำระหนี้รายใด การที่เจ้าหนี้นำไปจัดสรรชำระดอกเบี้ยของหนี้ทั้งสามอันดับตามส่วน ย่อยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328และมาตรา 329 แล้ว การที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้อันดับที่ 3 โดยอ้างส่งแต่เฉพาะสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวเป็นพยาน แต่ไม่นำส่งต้นฉบับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้หมายนัดให้เจ้าหนี้ทราบโดยชอบ ทั้งไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังสำเนาเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ประกอบพระราชบัญญัติ ล้มละลาย มาตรา 153
of 67