พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทประกันหนี้กู้ สิทธิเบิกจ่ายเมื่อครบกำหนด ไม่ใช่เช็คไม่มีมูลหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จริง โดยออกให้เพื่อประกันเงินกู้ตามสัญญากู้ซึ่งระบุว่า จำเลยได้มอบเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินกู้และลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกับวันครบกำหนดชำระเงินกู้ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ข้อความในสัญญากู้ดังกล่าวแสดงว่าเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินกู้ หากจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ หาใช่เป็นกรณีเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ดังจำเลยต่อสู้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คประกันหนี้: สิทธิในการเบิกเงินเช็คเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ แม้เป็นเช็คเพื่อประกัน ก็มีผลผูกพันตามสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จริง โดยออกให้เพื่อประกันเงินกู้ตามสัญญากู้ซึ่งระบุว่า จำเลยได้มอบเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินกู้และลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกับวันครบกำหนดชำระเงินกู้ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ข้อความในสัญญากู้ดังกล่าวแสดงว่าเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินกู้ หากจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ หาใช่เป็นกรณีเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ดังจำเลยต่อสู้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3962/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น และการเปลี่ยนแปลงเจตนาการครอบครอง ส่งผลต่อสิทธิในที่ดิน
โจทก์เข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยต่อมาจำเลยมอบอำนาจให้ บ.ยื่นคำขอออกโฉนดและมอบให้ดูแลที่ดินพิพาทแทน เมื่อ บ.นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดที่ดินพิพาทโจทก์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ บ. และทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินคัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินดังกล่าว เมื่อ บ.ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานว่าโจทก์เข้ามาปลูกบ้านในที่ดินของจำเลย และเจ้าพนักงานเรียกคู่กรณีมาเจรจาโจทก์ก็อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทไว้แทนจำเลยมาเป็นยึดถือเพื่อตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 และนับตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันฟ้องแย้งเกิน 1 ปีแล้วจำเลยจึงหมดสิทธิที่จะเรียกที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3939/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจากเหตุสุดวิสัยหลังก่อหนี้ ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้
เหตุที่จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถจัดการออกโฉนดและโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ตามสัญญาจะซื้อขาย เป็นเพราะผู้ขายซึ่งซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสี่ เนื่องจากถูกบุคคลอื่นฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในเวลาต่อมา ต้องถือว่าการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสี่กลายเป็นพ้นวิสัยและพฤติการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่จำเลยทั้งสี่ก่อหนี้ตามสัญญาจะซื้อขายทั้งไม่ปรากฏว่าได้เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของจำเลยทั้งสี่จะถือว่าจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชอบในพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหาได้ไม่ จำเลยทั้งสี่จึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้ ไม่ต้องโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ฝ่ายโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 เมื่อการชำระหนี้บางส่วนกลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ซึ่งจำเลยทั้งสี่ในฐานะลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบและการชำระหนี้ส่วนที่เป็นวิสัยที่จะทำได้ซึ่งหมายถึงการโอนที่ดินแปลงอื่น ๆตามสัญญาให้แก่โจทก์ยังเป็นประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์จะไม่ยอมรับโอนที่ดินแปลงที่อยู่ในวิสัยจะโอนได้ แล้วเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้เสียทั้งหมดหาได้ไม่ โจทก์จำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่กันและกันอยู่กล่าวคือฝ่ายจำเลยจะต้องโอนที่ดินที่เหลืออีก 5 แปลงให้แก่โจทก์ และฝ่ายโจทก์ก็ต้องชำระราคาตามที่ตกลงกันไว้นอกจากนั้นปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้จัดการโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว 1 แปลง กับได้จัดการออกโฉนดที่ดินแปลงที่เหลืออีก 5 แปลง พร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์ตามสัญญาทั้งการที่จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถโอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งนั้นหาได้เกิดจากพฤติการณ์ซึ่งจำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชอบไม่ จะถือว่าจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นฝ่ายรับเงินมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ไม่ได้กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(1)(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ด้วยเช็ค การเลิกสัญญาเช่าซื้อ และสิทธิของผู้ทรงเช็คหลังเช็คไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้
จำเลยออกเช็คผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ให้แก่โจทก์รวม 7 งวด งวดละฉบับ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างโดยออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทอีก และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมเลิกกันนับแต่นั้นเมื่อเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยชำระให้แก่โจทก์ก่อนเลิกสัญญากัน ถือได้ว่าเป็นค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชำระไว้แล้วด้วยเช็คแทนเงิน หาใช่ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระและค้างชำระอยู่ไม่ แม้เช็คพิพาทจะรับเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้ตามเช็คก็ยังไม่ระงับจนกว่าจะได้ใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้ตามเช็คพิพาท เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปขายลดให้แก่ธนาคาร ธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้และโจทก์ได้นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคารแล้วรับเช็คคืน โจทก์จึงกลับมาเป็นผู้ทรงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถในการฟ้องคดี ก่อนพิพากษายกฟ้อง
การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในการฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสอง ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะให้แก้ไขข้อบกพร่องก่อนหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถในการฟ้องคดี และผลต่อการยกฟ้อง
การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในการฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสองซึ่งศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะให้แก้ไขข้อบกพร่องก่อนหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดจากการปิดประกาศและโฆษณาใส่ร้ายเพื่อขัดขวางการทำประโยชน์ในที่ดิน การร่วมกันกระทำละเมิด
การกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยพึ่งสถาบันของรัฐโดยสุจริตเช่น การแจ้งความร้องทุกข์ การฟ้องคดีต่อศาล จะต้องกระทำโดยสุจริต มิใช่อาศัยสถาบันของรัฐเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายหนึ่ง การที่จำเลยต่อสู้หรือฟ้องคดีต่อศาลหรือแจ้งความร้องทุกข์ฝ่ายโจทก์ว่า โจทก์กับพวกบุกรุกที่ดินของจำเลยนั้นจะต้องมีมูลความจริงอยู่ว่าจำเลยน่าจะมีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างจริง มิเช่นนั้นแล้วจำเลยย่อมจะต้องเสี่ยงต่อความรับผิดหากศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวอ้าง เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีแพ่งเรื่องก่อนว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เป็นบริวารของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลม. ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุด จำเลยจึงต้องรับผิดในการในการกระทำดังกล่าวของตน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไว้ครบถ้วนแล้ว แม้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ฎีกาจำเลยที่ 1 ลงประกาศหนังสือพิมพ์ มีข้อความกล่าวหาโจทก์ทั้งสามโดยระบุชื่อโจทก์ทั้งสามว่า "บุกรุกที่ดินของจำเลยที่ 1ถูกจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาและยังขู่ไม่ให้บุคคลภายนอกจับจองหรือซื้ออาคารของโจทก์ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน"เช่นนี้เป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่โจทก์ทั้งสามทางชื่อเสียงความเชื่อถือ และธุรกิจการค้า การประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามโดยชัดแจ้งอีกกรณีหนึ่ง ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งหกร่วมกันให้การมาในคำให้การฉบับเดียวกัน ยอมรับว่าได้ร่วมกันกระทำต่อโจทก์ แต่ได้กระทำโดยสุจริต จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกคำให้การของจำเลยที่ 5จำเลยที่ 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3715/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ แม้จะโต้แย้งเรื่องการนำสืบก่อน
คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์และจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนไม่เป็นการถูกต้องนั้น แม้จะฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เสียแล้ว ก็ไม่อาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ใหม่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำสืบก่อนไม่เป็นการถูกต้องนั้น แม้จะฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์เสียแล้ว ก็ไม่อาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ใหม่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 แม้เจ้าพนักงานนั้นไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
การที่จำเลยซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ได้นำยึดบ้านดังกล่าวโดยแจ้งแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีว่าบ้านนั้นเป็นของ ก. เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 แล้ว เพราะคำว่าเจ้าพนักงานตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้มีความหมายจำกัดเฉพาะว่าจะต้องเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ แต่ยังมีความหมายรวมถึงเจ้าพนักงานอื่นโดยทั่วไปด้วย