คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวิน อักขรายุธ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3022/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือและการครอบครองทรัพย์สินหลังหย่าและการแบ่งสินสมรส ศาลฎีกามิรับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ในชั้น อุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่ เพียงว่า จำเลยได้ ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกัน จำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่ง เป็นทรัพย์พิพาทชิ้น หนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาท จำเลยจึงได้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดย การครอบครองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตาม สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้ หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่ง เป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้ .

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3022/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือทรัพย์สินหลังหย่าและการครอบครองทรัพย์สินโดยมิชอบ
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่า จำเลยได้ ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลย ไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกัน จำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทชิ้นหนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาท จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3022/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือทรัพย์สินและการครอบครองปรปักษ์ กรณีเจ้าของทรัพย์สินฟ้องขับไล่
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่า จำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกันจำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทชิ้น หนึ่ง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอนได้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3022/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือทรัพย์สินหลังแบ่งสินสมรส การครอบครองทรัพย์สินโดยไม่สุจริต และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างแต่เพียงว่าจำเลยได้ครอบครองทรัพย์พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่วันที่โจทก์ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยไม่ได้อ้างว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์พิพาททั้งหมด ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกันจำเลยไล่โจทก์ออกจากบ้านซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทโดยการครอบครองนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยไม่มีสิทธินำทรัพย์นั้นไปจำหน่ายจ่ายโอน คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปตีใช้หนี้ให้แก่บิดาจำเลยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยออกไปจากบ้านพิพาทและส่งมอบทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3013/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: การโอนภายใน 3 ปี & บุคคลภายนอก
จำเลยที่ 2 ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายในการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้คัดค้านที่ 1 มิได้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และในชั้นพิจารณาก็มิได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งมิได้มาศาลและนำสืบให้ศาลเห็นว่าการโอนดังกล่าวเป็นการโอนโดยสุจริต และมีค่าตอบแทน ดังนั้น จึงไม่มีเหตุที่จะแก้ตัวได้ว่า การโอนนั้นได้กระทำโดยสุจริต และมีค่าตอบแทน ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 114 ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุคคลภายนอก ซึ่งได้รับโอนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทดังกล่าว จากผู้คัดค้านที่ 1 หลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม ขอให้ล้มละลายแล้วแม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะได้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับความคุ้มครองสิทธิตาม พ.ร.บ. ล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 116 เพราะมิได้เป็นผู้รับโอนหรือได้สิทธิมาก่อนมีการขอให้ล้มละลาย การที่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้โอนที่พิพาทนั้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 ภายหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ล้มละลายต่อเนื่องกันมาอีกทอดหนึ่ง ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 4 จะได้รับโอนโดยสุจริต หรือมีค่าตอบแทนก็ตามย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116 เช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดแย้งในคำให้การและสิทธิในการกันส่วนทรัพย์สิน: จำเลยที่ 2 เปลี่ยนแปลงคำให้การ อ้างเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อกันส่วนทรัพย์สิน ศาลพิจารณาความขัดแย้งนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี ยื่นคำร้องขอกันส่วนอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนคำร้องและยกคำร้องของผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดแย้งในคำให้การของผู้ร้องระหว่างคดีแพ่งและการร้องขอส่วนแบ่งทรัพย์สินจากการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี ยื่นคำร้องขอกันส่วนอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนคำร้องและยกคำร้องของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดกันระหว่างคำให้การเดิมกับคำร้องขอคุ้มครองทรัพย์สิน การที่ศาลยกคำร้องเนื่องจากผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ผู้ร้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าผู้ร้องมิได้เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้วคำพิพากษาดังกล่าวจึงย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำสืบคดีข้างต้นฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 รู้เห็นและร่วมด้วยในการที่จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง จนน่าเชื่อว่าทรัพย์ที่ถูกโจทก์บังคับคดีนั้นส่วนหนึ่งเป็นเงินจากการกู้ยืมจากโจทก์นั่นเอง แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 ดังนี้ในชั้นร้องขอกันส่วน ผู้ร้องคือจำเลยที่ 2 จะกลับอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 คำให้การในฐานะเป็นจำเลยที่ 2จึงขัดกับคำร้องขอกันส่วน ผู้ร้องจึงร้องขอกันส่วนทรัพย์ที่ถูกบังคับคดีรายนี้ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย: สัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้ก่อนฟ้อง ไม่ถือเป็นการโอนเพื่อเจตนาให้ได้เปรียบเจ้าหนี้
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ทำการโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านภายในสามเดือน ก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ตามแต่ การโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการโอนที่สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ได้ ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้ผู้คัดค้านไว้ตั้งแต่ ก่อนโจทก์ฟ้องให้ลูกหนี้ (จำเลย)ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายประมาณ 2 ปีเศษ โดย ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1จะต้อง โอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านเมื่อสร้างเสร็จ ผู้คัดค้านชำระราคาแล้ว 200,000 บาท ยังเหลืออีก 200,000 บาท แต่ เมื่อสร้างเสร็จแล้วลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวไปจำนองบริษัท เครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัด ไว้ และไม่สามารถไถ่ถอนจำนองมาเพื่อโอนให้แก่ผู้คัดค้านได้ ฝ่ายผู้คัดค้านจึงได้ ชำระหนี้แทนลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1300,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนอง ทำให้ผู้คัดค้านต้อง เสียค่าโอนเกินกว่าที่สัญญากำหนดถึง 100,000 บาทการโอนดังกล่าวเป็นการโอนตาม สัญญาที่ลูกหนี้จำต้องโอนให้ผู้คัดค้านอยู่แล้ว ซึ่ง ราคาที่ดินและตึกแถวที่ผู้คัดค้านรับโอนนั้นก็ใกล้เคียงกับราคาที่เจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ของกรมบังคับคดีประเมินไว้ในปี 2529 เป็นเงิน 545,300 บาท แต่ ปรากฏว่าผู้คัดค้านรับโอนในปี 2524 ก่อนการประเมินถึง 5 ปี แสดงว่าราคาขณะรับโอนนั้นผู้รับโอนได้ รับโอนในราคาที่สูงกว่าปกติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใด ส่อแสดงว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนตาม มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ .

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย พิจารณาจากเจตนาลูกหนี้และราคาซื้อขายที่สมเหตุสมผล
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ทำการโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านภายในสามเดือนก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ตาม แต่การโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการโอนที่สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้ผู้คัดค้านไว้ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องให้ลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายประมาณ 2 ปีเศษ โดยลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 จะต้องโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านเมื่อสร้างเสร็จ ผู้คัดค้านชำระราคาแล้ว 200,000 บาท ยังเหลืออีก 200,000 บาท แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวไปจำนองบริษัท เครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัด ไว้ และไม่สามารถไถ่ถอนจำนองมาเพื่อโอนให้แก่ผู้คัดค้านได้ ฝ่ายผู้คัดค้านจึงได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 300,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนอง ทำให้ผู้คัดค้านต้องเสียค่าโอนเกินกว่าที่สัญญากำหนดถึง 100,000 บาท การโอนดังกล่าวเป็นการโอนตามสัญญาที่ลูกหนี้จำต้องโอนให้ผู้คัดค้านอยู่แล้ว ซึ่งราคาที่ดินและตึกแถวที่ผู้คัดค้านรับโอนนั้นก็ใกล้เคียงกับราคาที่เจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ของกรมบังคับคดีประเมินไว้ในปี 2529 เป็นเงิน 545,300 บาท แต่ ปรากฏว่าผู้คัดค้านรับโอนในปี 2524 ก่อนการประเมินถึง 5 ปี แสดงว่าราคาขณะรับโอนนั้นผู้รับโอนได้ รับโอนในราคาที่สูงกว่าปกติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใดส่อแสดงว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนตาม มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้
of 67