พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือขอผัดชำระหนี้ถือเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ แม้ไม่ได้ระบุจำนวนเงินที่ชัดเจน ฟ้องไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดและจำเลยที่2 ซึ่ง เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 ในฐานะ ผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท รับผิดใช้ เงินตาม เช็ค ต่อมา ส. ในฐานะ หุ้นส่วนซึ่ง เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 ผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 คนใหม่ได้ ทำหนังสือถึง โจทก์มีใจความว่า "เรียนคุณหมอ สุชาติ ที่นับถือ ตาม ที่คุณหมอให้ผมติดต่อ กับคุณพ่อผม (จำเลยที่ 2) นั้น ผมได้ ถาม แล้ว แก บอกให้ผมเรียนคุณหมอ ว่าแก ไม่มีเจตนาจะคิดโกงแต่ อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าในปีนี้ทั้งปีชักหน้าไม่ถึงหลังตลอด เวลา อยากจะขอความกรุณาคุณ หมอ ช่วย ผ่อนผันให้จนกว่าจะส่งงาน เพราะในขณะนี้ แก ไม่มีเงินจริง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดผมขอยืนยันว่าเป็นความจริง หวังว่าคงจะได้ รับความกรุณาจากคุณหมอ เช่นเคย" ท้ายข้อความเป็น คำลงท้ายของหนังสือและลงลายมือชื่อของ ส. ส่วนตอนต้น ข้อความลงวันเดือน ปีที่ทำหนังสือไว้ด้วย ดังนี้ เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือ ขอผัดชำระหนี้ของห้างจำเลยที่ 1 เพราะมีข้อความที่กล่าวถึง ระยะเวลา ที่ขอให้โจทก์ผ่อนผันให้ชำระหนี้ดังกล่าวได้จนกว่าจะส่งมอบงาน ซึ่ง เป็นกิจการของห้างจำเลยที่ 1 เอกสารดังกล่าวจึงเป็น หนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 1 แม้มิได้ระบุว่ามีหนี้จำนวนเท่าใด แต่ เมื่ออ่านข้อความทั้งหมด พอเข้าใจได้ ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับ ว่าเป็นหนี้โจทก์ตาม จำนวนที่โจทก์แจ้งไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและผู้กระทำละเมิด
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก 5,000เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้าโดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือกับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่าสินค้ามีน้ำหนัก 4,976 เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป 472 เมตริกตันข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้วเรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอยถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมีความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือเดือนมิถุนายน 2525 แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดีว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527 จึงพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดจากรายงานน้ำหนักสินค้าคลาดเคลื่อน ผู้รับจ้างขนส่งรู้ทันทีแต่เพิ่งฟ้องภายหลัง
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก ๕,๐๐๐ เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้า โดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือ กับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่า สินค้ามีน้ำหนัก ๔,๙๗๖ เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่า เมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป ๔๗๒ เมตริกตัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้ว เรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการ ขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอย ถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมี ความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลย แจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาด ถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือ เดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบ ข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดี ว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๗ จึงพ้นกำหนด ๑ ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงความเสียหายและผู้กระทำละเมิด
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก 5,000เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้าโดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือกับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่าสินค้ามีน้ำหนัก 4,976 เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป 472 เมตริกตันข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้วเรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอยถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมีความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือเดือนมิถุนายน 2525 แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดีว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527 จึงพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับเมื่อใด เมื่อโจทก์ทราบถึงการกระทำละเมิดและผู้กระทำ
โจทก์ทราบถึง เหตุที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้าว่าเพราะจำเลยคำนวณและรายงานน้ำหนักสินค้าผิดพลาด ถือ ได้ ว่าโจทก์รู้ถึง การละเมิดของจำเลยแล้วการที่โจทก์ว่าจ้างบริษัท ว. ทำการตรวจสอบในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดอย่างไรเพื่อนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้ถึง การละเมิดและตัวผู้จะพึงต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบเป็นจุดเริ่มต้นนับอายุความ
โจทก์ทราบถึงเหตุที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้าว่าเป็นเพราะจำเลยคำนวณและรายงานน้ำหนักสินค้าผิดพลาด ถือได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยแล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างบริษัท ว.ทำการตรวจสอบในภายหลังนั้น เป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดอย่างไร เพื่อนำมาเป็นพยานหลักฐานในคดีเท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คโดยชอบธรรม แม้มีการโอนเช็ค
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่ง จำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ การที่จำเลยให้การและนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อในเช็ค พิพาทมอบให้แก่ จ. เพื่อค้ำประกันหนี้โดย ไม่ได้ลงวันที่และจำนวนเงิน ต่อมาจำเลยผ่อนชำระหนี้ให้ จ. จนหมดแต่ จ. ไม่คืนเช็ค ให้นั้นเป็นข้อต่อสู้ที่อาศัยความเกี่ยวกันระหว่างจำเลยซึ่ง เป็นผู้สั่งจ่ายกับ จ. ซึ่ง เป็นผู้ทรงคนก่อน แม้จำเลยจะให้การว่าโจทก์ได้เช็ค พิพาทมาโดย ทุจริตคบคิดกับ จ. แต่ จำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นเช่นนั้น ดังนี้ จำเลยจึงต้อง รับผิดใช้ เงินตาม เช็ค ให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบข้อเท็จจริงการขาดหายของสินค้า การนำสืบไม่เป็นการนอกคำให้การหากเกี่ยวข้องกับการต่อสู้คดี
โจทก์ฟ้องว่าสินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้ขาดหายไปในระหว่างการขนส่ง จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมทอดหนึ่งจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าสินค้ามิได้ขาดหาย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมในทอดสุดท้ายจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ดังนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าสินค้าตามฟ้องได้ขาดหายไปในระหว่างเก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น เป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าสินค้ามิได้ขาดหายในระหว่างขนส่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคำให้การนั่นเอง หาเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบหักล้างข้อกล่าวหาการขาดหายของสินค้า การนำสืบต้องอยู่ในประเด็นที่ได้ต่อสู้ไว้
โจทก์ฟ้องว่าสินค้าที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้ขาดหายไปในระหว่างการขนส่ง จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมทอดหนึ่งจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าสินค้ามิได้ขาดหาย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมในทอดสุดท้ายจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ดังนั้น การที่จำเลยนำสืบว่าสินค้าตามฟ้องได้ขาดหายไปในระหว่างเก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น เป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าสินค้ามิได้ขาดหายในระหว่างขนส่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคำให้การนั่นเอง หาเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็นไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งสิ้นสุดเมื่อส่งมอบสินค้าให้ท่าเรือปลายทาง และความรับผิดชอบของท่าเรือในการเก็บรักษา
สินค้าตาม ฟ้องมิได้ขาดหายไปในระหว่างการขนส่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย แต่ หายไปในระหว่างที่เก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย หลังจากที่ผู้รับตราส่งได้ชำระค่าระวางและรับใบสั่งปล่อยสินค้าจากจำเลย อันถือ ได้ ว่าจำเลยได้ จัดส่งสินค้าถึง การท่าเรือปลายทาง และ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ รับมอบสินค้าไว้จากจำเลยครบถ้วนตาม ระเบียบและการปฏิบัติในการรับสินค้าแล้ว หน้าที่การขนส่งสินค้าของจำเลยย่อมสิ้นสุดลง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อ โจทก์ โจทก์ฟ้องว่าสินค้าได้ ขาดหายไปในระหว่างการขนส่งที่จำเลยเป็นผู้รับขนจำเลยให้การว่าสินค้ามิได้ขาดหายไปในระหว่างขนส่งของจำเลย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า "จำเลยเป็นผู้ทำการขนส่งสินค้าร่วมในทอดสุดท้ายจากประเทศ สิงคโปร์ มาประเทศ ไทย ซึ่ง จะต้อง รับผิดต่อ โจทก์ตาม ฟ้องเพียงใดหรือไม่"ดังนี้ การที่จำเลยนำสืบว่าสินค้าตาม ฟ้องได้ ขาดหายไปในระหว่างเก็บอยู่ในระหว่างเก็บอยู่ในโรงพักสินค้าของ การท่าเรือแห่งประเทศไทย นั้น จึงเป็นการนำสืบเพื่อให้เห็นว่าสินค้ามิได้ขาดหายในระหว่างขนส่งตาม ข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นเองหาเป็นการนอกคำให้การและนอกประเด็นไม่.