พบผลลัพธ์ทั้งหมด 661 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งวันนัดฟังคำสั่งล้มละลายที่ไม่ชอบ และการรับรองการทราบคำสั่งภายหลัง
จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาที่แน่นอนจึงไม่ใช่กรณีที่ไม่สามารถส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 1 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ได้ การส่งหมายแจ้งวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 26 มีนาคม 2534 ให้จำเลยที่ 1 ทราบโดยวิธีปิดประกาศหน้าศาล จึงเป็นการแจ้งวันนัดที่ไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่า จำเลยที่ 1ได้ทราบคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันดังกล่าว แต่ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 รับว่าได้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อวันที่1 กรกฎาคม 2534 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิม โดยให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบหรือได้ฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534 จึงชอบแล้วไม่มีเหตุต้องดำเนินกระบวนพิจารณาแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 มาฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่ การอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความฟังนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป หากเป็นการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความรายใดฟังเป็นการไม่ชอบก็มีผลเฉพาะคู่ความรายนั้น ๆ ไม่มีผลถึงการอ่านให้คู่ความรายอื่นที่ได้ฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยชอบแล้ว สิทธิในการอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง จะถือตามสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,336,580 บาท พร้อมดอกเบี้ยและโจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้แล้ว 2 ครั้งซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ทั้งจำเลยทั้งสามร่วมกันแถลงยอมรับในวันสืบพยานจำเลยว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องและเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพฤติการณ์ที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องจริง ไม่ติดใจสืบพยานจำเลยอีกต่อไป หากถึงวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาจำเลยทั้งสามไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ก็ให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป และเมื่อถึงวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา จำเลยทั้งสามมิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่ได้แถลงต่อศาลชั้นต้น ดังนี้ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งวันนัดฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและการอุทธรณ์ สิทธิอุทธรณ์เป็นรายบุคคล
จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาที่แน่นอน จึงไม่ใช่กรณีที่ไม่สามารถส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 1 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ได้ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งให้ส่งหมายนัดโดยวิธีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา79 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายแจ้งวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1ทราบโดยวิธีปิดประกาศที่หน้าศาลจึงเป็นการแจ้งวันนัดที่ไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่มาศาล ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันนัดดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ยอมรับตามคำร้องว่าได้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2534 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิมแต่ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบหรือฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2534 จึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องดำเนินกระบวนพิจารณาแจ้งวัดนัดให้จำเลยที่ 1มาฟังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดใหม่
การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2534 นั้น มีผลเฉพาะจำเลยที่ 1 เพราะการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความรายใดฟังนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป ไม่มีผลถึงการอ่านให้คู่ความรายอื่นที่ได้ฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยชอบแล้ว สิทธิในการอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง จะถือตามสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2534 นั้น มีผลเฉพาะจำเลยที่ 1 เพราะการอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความรายใดฟังนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายเป็นรายบุคคลไป ไม่มีผลถึงการอ่านให้คู่ความรายอื่นที่ได้ฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยชอบแล้ว สิทธิในการอุทธรณ์เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง จะถือตามสิทธิอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีล้มละลายเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท และการฎีกาประเด็นสัญญาจ้างว่าความ
คดีชั้นเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ครั้งแรกยื่นคำขอรับชำระหนี้ 1,940,000 บาท ต่อมาได้ถอนไปเสีย 1,930,000 บาทคงเหลือ 10,000 บาทอันเป็นทุนทรัพย์ในคดี เมื่อไม่เกินสองหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224ก่อนแก้ไข อันเป็นกฎหมายในขณะที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย มาตรา 153 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยหากวินิจฉัยให้ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีสิทธิยกข้อดังกล่าวขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ที่แก้ไขแล้วประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153 ส่วนฎีกาที่ว่าสัญญาว่าความต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เจ้าหนี้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะฎีกาได้นั้น เจ้าหนี้มิได้กล่าวโดยแจ้งชัดในฎีกาว่า เป็นการโต้แย้งข้อกฎหมายข้อใดอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่แก้ไขแล้ว ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำขอให้ล้มละลาย โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ถูกขอ
จำเลยรับราชการเป็นทหารบกยศจ่าสิบเอก รับเงินเดือนอัตรา7,370 บาท และมีสิทธิในที่ดินซึ่งได้มาจากการจัดสรรของกองทัพบกราคาประมาณ 20,000 บาท แม้ว่าจำเลยจะเป็นหนี้โจทก์จำนวน55,668 บาท และเป็นหนี้บุคคลอื่นอีก 10,000 บาทเศษ แต่เมื่อได้พิเคราะห์ถึงสถานะของจำเลยแล้ว จำเลยอยู่ในฐานะที่จะขวนขวายชำระหนี้โจทก์ได้ กรณีมีเหตุที่ยังไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งหนี้และการปฏิเสธหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย การพิจารณาวันได้รับแจ้งหนี้ที่ถูกต้อง
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรกไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิและ 76 มาใช้โดยอนุโลมตามมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ป. ลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน 20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2531 ตามใบไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ,76แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านในวันที่ส่งนั้น ผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่า ตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้ผู้คัดค้านภายในกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหนังสือทวงหนี้และการรับทราบหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 วรรคแรกไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำ ป.วิ.พ.มาตรา 73 ทวิ และ 76 มาใช้โดยอนุโลมตามมาตรา 153 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483
ป. ลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน 20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2531 ตามใบไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามป.วิ.พ. มาตรา 73 ทวิ, 76 แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านในวันที่ส่งนั้น ผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่า ตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้ผู้คัดค้านภายในกำหนด
ป. ลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน 20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2531 ตามใบไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามป.วิ.พ. มาตรา 73 ทวิ, 76 แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นเด็ดขาดไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านในวันที่ส่งนั้น ผู้ร้องอาจนำสืบความจริงว่า ตนได้รับเมื่อใด เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนได้ตอบปฏิเสธหนี้ผู้คัดค้านภายในกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งหนี้ทางไปรษณีย์ และผลของการปฏิเสธหนี้เกินกำหนดตามกฎหมายล้มละลาย
ลูกจ้างของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่สำนักทำการงานของผู้ร้องมีอายุเกิน 20 ปี ได้รับหนังสือทวงหนี้จากผู้คัดค้านไว้เมื่อวันที่ 23ธันวาคม 2531 จึงถือได้ว่ามีการส่งหนังสือทวงหนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ,76 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119,153ดังนี้ ผู้ร้องชอบที่จะปฏิเสธหนี้ต่อผู้คัดค้านภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 6 มกราคม2532 โดยวันดังกล่าวมิใช่วันหยุดราชการ เมื่อผู้ร้องทำหนังสือปฏิเสธหนี้ถึงผู้คัดค้านในวันที่ 9 มกราคม 2532 ซึ่งเกินกำหนด14 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงหนี้ของผู้คัดค้าน ต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามจำนวนที่ผู้คัดค้านแจ้งไปเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 119 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าหลังล้มละลาย ศาลสั่งชดใช้เงินแทนได้หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิม
การที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วยเหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้วแต่เนื่องจากสภาพที่ไม่อาจบังคับให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ประจักษ์แน่ชัดแล้วจึงกำหนดสภาพการบังคับเป็นให้ชดใช้เงินแทนตามผลแห่งสภาพความจริงที่ปรากฏเป็นประจักษ์นั้นได้ในรูปคำสั่งเดียว การโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยและผู้คัดค้านได้กระทำในระหว่างที่สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดยังมีประโยชน์และสามารถตีราคาได้เป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนไป ย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลย และย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าว ซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนในส่วนดังกล่าวนี้ จึงอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนสิทธิเช่า และการชดใช้เงินแทน
การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านแต่มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทนด้วยเหตุที่โดยสภาพแล้วมิอาจให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเป็นผู้เช่าดังเดิมได้นั้น เป็นการสั่งเพิกถอนการโอนแล้ว
ขณะที่จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้ผู้คัดค้าน สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์สามารถตีราคาเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านรับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลยและย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนจึงอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้น
ขณะที่จำเลยโอนสิทธิการเช่าให้ผู้คัดค้าน สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับผู้ให้เช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์สามารถตีราคาเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านรับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลยและย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่งคำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนจึงอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่คำนวณได้นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนสิทธิเช่าในคดีล้มละลาย และการชดใช้เงินแทนเมื่อไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้
การสั่งเพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 114 ถ้าปรากฏว่าไม่อาจบังคับให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ศาลก็กำหนดให้ชดใช้เงินแทนได้ การโอนสิทธิการเช่าระหว่างจำเลยและผู้คัดค้านได้กระทำในระหว่างที่สิทธิการเช่าตามสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนด ยังมีประโยชน์และสามารถตีราคาได้เป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อผู้คัดค้านได้รับโอนไปย่อมเป็นการรับโอนทรัพย์สินจากจำเลย และ ย่อมได้รับประโยชน์ตลอดเวลาแห่งสิทธิการเช่าดังกล่าวซึ่ง คำนวณราคาเป็นเงินได้ การเพิกถอนการโอนในส่วนดังกล่าวนี้ จึงยังอาจบังคับได้โดยให้ผู้คัดค้านชดใช้เงินแทนตามราคาที่ คำนวณได้