คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จองทรัพย์ เที่ยงธรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 653 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2669/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายจากการประทุษร้าย แม้มีเหตุทะเลาะวิวาทก่อนหน้า
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 10 วัน จำเลยที่ 1 เคยทะเลาะและชกต่อยกับจำเลยที่ 2 เนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ค้างชำระค่าอาหารที่ร้านของจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุก่อนเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 1 แล้วชะลอความเร็วของรถลงและตะโกนเข้ามาในร้านของจำเลยที่ 1 ว่า สบายนะ เดี๋ยวมา ต่อมาอีกสักครู่ ค.ภรรยาของจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 1 และตะโกนเข้ามาในร้านอีกว่าซุมกระจอกหมายความว่าพวกกระจอก จากนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้เข้ามายืนอยู่ที่หน้าร้านและเรียกคนในร้านออกไป เมื่อคนในร้านไม่ออกไปจำเลยที่ 3 ได้เข้ามาใช้มีดไล่แทงบุตรชายของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถือมีดยืนคุมเชิงอยู่หน้าร้าน เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าห้ามก็ถูกจำเลยที่ 3 ใช้มีดฟัน จำเลยที่ 1 จึงเข้าไปคว้ามีดปังตอซึ่งมีไว้สำหรับสับเนื้อออกมานอกร้านและเห็นจำเลยที่ 3 วิ่งไล่ ว. โดยมีจำเลยที่ 2ยืนถือมีดคุมอยู่ จำเลยที่ 1 วิ่งผ่านจำเลยที่ 2 แต่ผ่านไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้กับจำเลยที่ 2 ระหว่างต่อสู้ ท.ได้เข้ามาช่วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย เมื่อปรากฏว่าก่อนจะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และ ค.ภรรยาจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายก่อเหตุและหาเรื่องจำเลยที่ 1 กับพวกขึ้นก่อน แม้จำเลยที่ 1 มีสาเหตุทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2มาก่อนวันเกิดเหตุก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 และ ค.ยังเจ็บแค้นจำเลยที่ 1 แล้วนำไปก่อเรื่องจนทำให้เกิดเหตุทำร้ายกันในเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 กับพวกหาได้สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ด้วยไม่ หากแต่เป็นการกระทำที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2669/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย: การต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองเมื่อถูกทำร้ายก่อน
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 10 วัน จำเลยที่ 1 เคยทะเลาะและชกต่อยกับจำเลยที่ 2 เนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ค้างชำระค่าอาหารที่ร้านของจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุก่อนเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 2 แล้วชะลอความเร็วของรถลงและตะโกนเข้ามาในร้านของจำเลยที่ 1 ว่า สบายนะเดี๋ยว มาต่อมาอีกสักครู่ ค.ภรรยาของจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 1 และตะโกนเข้ามาในร้านอีกว่าซุมกระจอกหมายความว่าพวกกระจอก จากนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้เข้ามายื่นอยู่ในหน้าร้านและเรียกคนในร้านออกไปเมื่อคนในร้านไม่ออกไปจำเลยที่ 3 ได้เข้ามาใช้มีดไล่แทงบุตรชายของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถือมีดยืนคุมเชิงอยู่หน้าร้าน เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าห้ามก็ถูกจำเลยที่ 3 ใช้มีดฟันจำเลยที่ 1 จึงเข้าไปคว้ามีดปังตอซึ่งมีไว้สำหรับสับเนื้อออกมานอกร้านและเห็นจำเลยที่ 3 วิ่งไล่ ว.โดยมีจำเลยที่ 2ยืนถือมีดคุกอยู่ จำเลยที่ 1 วิ่งผ่านจำเลยที่ 2 แต่ผ่านไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้กับจำเลยที่ 2 ระหว่างต่อสู้ ท.ได้เข้ามาช่วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย เมื่อปรากฎว่าก่อนจะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และ ค.ภรรยาจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายก่อเหตุและหาเรื่องจำเลยที่ 1 กับพวกขึ้นก่อน แม้จำเลยที่ 1มีสาเหตุทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2 มาก่อนวันเกิดเหตุก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 2 และค.ยังเจ็บแค้นจำเลยที่ 1แล้วนำไปก่อเรื่องจนทำให้เกิดเหตุทำร้ายกันในเวลาต่อมาโดยจำเลยที่ 1 กับพวกหาได้สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ด้วยไม่หากแต่เป็นการกระทำที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเว้นการจัดเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินตามข้อบังคับ ก่อให้เกิดการเบียดบังเงินของโจทก์ จำเลยต้องรับผิดร่วมกัน
การละเว้นกระทำจะเป็นละเมิดต่อเมื่อเป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลและความเสียหายเป็นผลโดยตรงจากการละเว้นดังกล่าว ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงินพ.ศ.2528หมวด2ข้อ6มีว่า"ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินมีหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้จัดเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงิน"จำเลยที่2ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจึงต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามข้อ13คือทำหลักฐานรับจ่ายเงินรับผิดชอบเงินที่รับและจ่ายรับจ่ายเงินให้ถูกต้องตามหลักฐานการรับจ่ายทำงบแสดงยอดเงินรับจ่ายและคงเหลือเสนอต่อผู้มอบเงินไปจ่ายพร้อมทั้งส่งหลักฐานและเงินเหลือจ่ายคืนการที่จำเลยที่2ละเว้นไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับโดยไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินดังกล่าวเป็นผลให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นนายทหารการเงินมีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลการเบิกเงินการรับจ่ายเงินการเก็บรักษาเงินและการบัญชีเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปการกระทำของจำเลยที่2เป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่2ต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2600/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเว้นหน้าที่ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมทำให้เกิดความเสียหาย ถือเป็นการกระทำละเมิดร่วมกับผู้เบียดบังเงิน
โดยปกติการละเว้นกระทำไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันจะเป็นละเมิดเว้นแต่เป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นจึงจะถือได้ว่าเป็นการกระทำอันจะเป็นละเมิด ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงินพ.ศ.2528หมวด2ข้อ6กำหนดให้ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินฉะนั้นจำเลยที่2ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจะต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินขึ้นซึ่งเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามข้อบังคับดังกล่าวข้อ13คือทำหลักฐานรับจ่ายเงินรับผิดชอบเงินที่รับและจ่ายรับจ่ายเงินให้ถูกต้องตามหลักฐานการรับจ่ายทำงบแสดงยอดเงินรับจ่ายและคงเหลือเสนอต่อผู้มอบเงินไปจ่ายซึ่งหากจำเลยที่2จัดให้มีเจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินขึ้นโอกาสที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นหัวหน้านายทหารการเงินและเบียดบังเอาเงินของโจทก์ที่จำเลยที่1ได้รับมอบมาเพื่อนำฝากเข้าบัญชีของหน่วยงานของโจทก์ไปก็จะไม่มีหรือยากขึ้นการที่จำเลยที่2ละเว้นไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าวโดยประมาทเลินเล่อจึงเป็นผลโดยตรงให้จำเลยที่1เบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเป็นการละเว้นกระทำในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีก่อนยังอยู่ในระยะเวลาอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว
ขณะโจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องคดีนี้คดีก่อนซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ทั้งสองขาดนัดพิจารณายังอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นได้และต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต้องถือว่าขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ใหม่คดีก่อนของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณาฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์จะได้มีคำพิพากษาว่าคำสั่ง จำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นชอบแล้วและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีก่อนยังอยู่ระหว่างพิจารณา แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์ทัน
โจทก์เคยฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกับกับคดีนี้มาแล้วโดยในคดีก่อนศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ขาดนัดหลังจากนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลในคดีก่อนและต่อมาก็ได้ยื่นคำให้การแก้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ดังนี้แม้คดีที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษาและคดีถึงที่สุดไปแล้วแต่เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก่อนยังอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นได้และจำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดกรณีจึงต้องถือว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่นั้นคดีก่อนของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีก่อนยังไม่สิ้นสุด แม้มีการอุทธรณ์ภายในกำหนด
โจทก์เคยฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันกับคดีนี้มาแล้ว โดยในคดีก่อนศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ขาดนัด หลังจากนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลในคดีก่อน และต่อมาก็ได้ยื่นคำให้การแก้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ ดังนี้ แม้คดีที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษา และคดีถึงที่สุดไปแล้ว แต่เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คดีก่อนยังอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นได้ และจำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด กรณีจึงต้องถือว่าขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่นั้นคดีก่อนของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กฎหมายเช็คที่ใช้บังคับ: ความผิดเดิมไม่ถูกยกเลิก แม้มีกฎหมายใหม่ อัตราโทษเบากว่าต้องใช้กฎหมายใหม่
ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ใช้บังคับไม่ถูกยกเลิกตามมาตรา10แห่งพระราชบัญญัติฉบับใหม่เป็นเรื่องกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าและเป็นคุณแก่จำเลยจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3โดยโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการรบกวนการครอบครองที่ดิน: การกระทำโดยเข้าใจผิดไม่ถือเป็นความผิด
โจทก์และจำเลยนำสืบพยานโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างฟ้องเป็นคดีแพ่งกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท อีกฝ่ายรุกล้ำ ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทกันอยู่ การที่จำเลยเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยจึงไม่มีเจตนาเข้าไปกระทำการใด ๆ ในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 362

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินพิพาท: การกระทำโดยเข้าใจผิดเรื่องสิทธิในที่ดิน ไม่ถือเป็นการรบกวนการครอบครอง
จำเลยทั้งสองเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยที่2ปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์จำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิกันและต่างฟ้องคดีแพ่งอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่2จำเลยทั้งสองจึงไม่มีเจตนาบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326
of 66