คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จองทรัพย์ เที่ยงธรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 653 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5489/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดต้องแสดงเหตุเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติผิดกฎหมาย การอ้างราคาต่ำเกินไปไม่เพียงพอ
ข้อคัดค้านที่อ้างแต่เพียงว่า การขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยได้ราคาต่ำไปไม่คุ้มหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดอย่างไรและเพราะเหตุใดราคาขายทอดตลาดจึงเป็นราคาที่ต่ำไป ยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ข้อคัดค้านดังกล่าวยังไม่เป็นเหตุที่จะให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4705/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเงินโดยไม่มีข่มขู่หรือใช้กำลัง ไม่ถึงขั้นชิงทรัพย์
การที่จำเลยซึ่งไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อนเดินตรงเข้ามาหาผู้เสียหายขณะรอรถยนต์โดยสารเพื่อจะกลับบ้านอยู่ที่หน้าโรงเรียน ทำท่าทางขึงขังลักษณะจะทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับแบมือและพูดว่าขอเงิน 1 บาท ผู้เสียหายส่งเงินให้ไป 1 บาท หลังจากนั้นจำเลยก็เดินไปขอเงินจากเด็กนักเรียนอื่น นักเรียนคนนั้นก็ส่งเงินให้ 1 บาท เช่นกัน ดังนี้จำเลยเพียงแต่ขอเงินผู้เสียหายโดยยังไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ฉะนั้นที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยมีท่าทางขึงขังและคิดว่าจะทำร้ายตนนั้นเป็นเพียงลักษณะท่าทางของวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยด้วยการแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากกว่า ซึ่งยังไม่พอฟังว่าเป็นลักษณะขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4705/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์ vs. ลักทรัพย์: การขอเงินด้วยท่าทางข่มขู่ไม่ถึงขั้นขู่เข็ญใช้กำลัง
การที่จำเลยซึ่งไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน เดินตรงเข้ามาหาผู้เสียหายขณะรอรถยนต์โดยสารเพื่อจะกลับบ้านหน้าโรงเรียนมีท่าทางขึงขัง ลักษณะจะทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับแบมือ และพูดว่าขอเงิน 1 บาท ผู้เสียหายส่งเงินให้ไป 1 บาท หลังจากนั้นจำเลยได้เดินไปขอเงิน 1 บาทกับนักเรียนอื่นอีกคนหนึ่ง ดังนี้จำเลยเพียงแต่ขอเงินผู้เสียหาย โดยยังไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ฉะนั้นที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยมีท่าทางขึงขังและคิดว่าจะทำร้ายตนนั้นเป็นเพียงลักษณะท่าทางวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยด้วยการแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากกว่า ซึ่งยังไม่พอฟังว่าเป็นลักษณะขู่เข็ญว่าในทันใดจะใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์(เพียงแต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์) พฤติการณ์แห่งคดีจะเป็นเรื่องที่จำเลยแสดงอำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง แต่จำเลยได้พูดขอเงินจากนักเรียนที่บริเวณหน้าโรงเรียนในเวลากลางวันเพียงคนละ 1 บาทเท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยนำเงินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทานเพื่อบรรเทาความหิวโหย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษจำคุก และวางมาตรการคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนผู้จัดการมรดกและการตั้งผู้จัดการมรดกใหม่เมื่อมีการแบ่งมรดกแล้วแต่ยังไม่จดทะเบียน
มารดาผู้ร้องและคัดค้านได้แบ่งที่ดินมรดกของบิดาให้ทายาททุกคน ซึ่งรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้าน ได้ เข้าครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดก โดยชอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคแรกเมื่อผู้ร้องได้ขายที่ดินมรดกที่ได้รับแบ่งให้ไปแล้วจึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกอีก แม้ต่อมาผู้ร้องได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาก็ไม่มีสิทธิจัดการมรดก ดังนั้น เมื่อผู้ร้องขอจะใช้อำนาจผู้จัดการมรดกมาเรียกร้องเอาส่วนแบ่งใหม่ให้ผิดไป จากที่ได้แบ่งปันกันไปแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกระทบกระเทือนสิทธิของผู้คัดค้านและทายาทอื่นซึ่งครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนอยู่ มีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 แม้มีการแบ่งปันที่ดินมรดกโดยผู้คัดค้านและทายาทอื่นเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วก็ตาม แต่ที่ดินมรดกรายนี้เป็นที่ดินมี น.ส.3 และยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยกทั้งเคยมีการไปขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินดำเนินการ แบ่งแยกทะเบียน แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียนให้โดยอ้างว่าต้องให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ขอแบ่งแยกทางทะเบียน กรณีจึงพอถือได้ว่าการจัดการ หรือแบ่งปันมรดกที่ดินของผู้ตายมีเหตุขัดข้องทั้งผู้คัดค้านมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718จึงตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: สิทธิของผู้จัดการมรดก & การแบ่งมรดกโดยชอบด้วยกฎหมาย
มารดาผู้ร้องและผู้คัดค้านได้แบ่งที่ดินมรดกของบิดาให้ทายาททุกคน ซึ่งรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านได้เข้าครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรรคแรก เมื่อผู้ร้องได้ขายที่ดินมรดกที่ได้รับแบ่งให้ไปแล้ว จึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกอีก แม้ต่อมาผู้ร้องได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาก็ไม่มีสิทธิจัดการมรดกดังนั้น เมื่อผู้ร้องจะใช้อำนาจผู้จัดการมรดกมาเรียกร้องเอาส่วนแบ่งใหม่ให้ผิดไปจากที่ได้แบ่งปันกันไปแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตกระทบกระเทือนสิทธิของผู้คัดค้านและทายาทอื่นซึ่งครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนอยู่ มีเหตุสมควรให้ศาลถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727
แม้มีการแบ่งปันที่ดินมรดกโดยผู้คัดค้านและทายาทอื่นเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วก็ตาม แต่ที่ดินมรดกรายนี้เป็นที่ดินมี น.ส.3 และยังไม่ได้จดทะเบียนแบ่งแยก ทั้งเคยมีการไปขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียน แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะดำเนินการแบ่งแยกทางทะเบียนให้โดยอ้างว่าต้องให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ขอแบ่งแยกทางทะเบียน กรณีจึงพอถือได้ว่าการจัดการหรือแบ่งปันมรดกที่ดินของผู้ตายมีเหตุขัดข้อง ทั้งผู้คัดค้านมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 จึงตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นสัญญาซื้อขาย: ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่-พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่น การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อประเด็นต่างจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในสำนวนคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการแกล้งฟ้องและประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4368/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเพิกถอนการซื้อขายที่ดินเนื่องจากการฉ้อฉล คำพิพากษาชี้ว่าอายุความเริ่มนับจากวันที่โจทก์ทราบถึงการฉ้อฉล
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2529 เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 สำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า ได้ทำหนังสือไปถึงโจทก์ลงวันที่ 2 เมษายน 2529 แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินที่ขอให้ระงับการโอนไว้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว นิติกรสังกัดกองนิติการของโจทก์ทำบันทึกเรื่องราวเสนอให้อธิบดีของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 จึงถือได้ว่า โจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลรายนี้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2530 ยังไม่พ้น 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้น10 ปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4270/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นผิดพลาดในคดีครอบครองที่ดิน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยเข้ามาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิเจ้าของเดิม จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของจำเลย คดีจึงมีประเด็นที่โต้เถียงกันแต่เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใดเท่านั้น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์เพราะการครอบครองปรปักษ์จะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ เป็นการกำหนดประเด็นไม่ถูกต้องตามคำฟ้องและคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
of 66