พบผลลัพธ์ทั้งหมด 653 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6300/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับขับไล่และสิทธิครอบครองที่ดิน: ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ที่ดินพิพาทมีราคา 102,000 บาท และโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยปีละ5,000 บาท ซึ่งโจทก์และจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยและมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคสาม ที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทได้ เพราะผู้ร้องทั้งสองมิใช่บริวารของจำเลย แม้ว่าผู้ร้องทั้งสองจะยกข้อกฎหมายมาอ้างว่าผู้ร้องทั้งสองมีชื่อระบุในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ผู้ร้องทั้งสองย่อมมีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาท จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีแทนผู้ร้องทั้งสองได้ และโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องทั้งสองเป็นจำเลย จึงไม่อาจบังคับขับไล่ผู้ร้องทั้งสองได้นั้น ก็เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยข้อเท็จจริง ถือว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6300/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะบริวารและสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีบังคับคดี
คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารจำเลยที่ถูกฟ้องขับไล่ที่ดินพิพาทมีราคา102,000บาทและโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยปีละ5,000บาทซึ่งโจทก์และจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสองเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยและมีคำสั่งให้ยกคำร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้ร้องจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสามที่ผู้ร้องทั้งสองฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทได้เพราะผู้ร้องทั้งสองมิใช่บริวารของจำเลยแม้ว่าผู้ร้องทั้งสองจะยกข้อกฎหมายมาอ้างว่าผู้ร้องทั้งสองมีชื่อระบุในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ผู้ร้องทั้งสองย่อมมีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาทจำเลยไม่่อาจต่อสู้คดีแทนผู้ร้องทั้งสองได้และโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องทั้งสองเป็นจำเลยจึงไม่อาจบังคับขับไล่ผู้ร้องทั้งสองได้นั้นก็เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยข้อเท็จจริงถือว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6246/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์มรดก เจ้าของรวม และอายุความ คดีมิใช่การเรียกร้องเอาทรัพย์มรดก
จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลและเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกเงินจำนวน 216,250 บาทก่อนที่จะแบ่งปันให้ทายาทต้องถือว่า ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกนั้นแทนทายาททุกคน โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกดังกล่าวร่วมกันแล้ว และจำเลยที่ 1ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นในฐานะเจ้าของรวม การที่โจทก์มาฟ้องขอแบ่งทรัพย์ดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการฟ้องขอแบ่งทรัพย์ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 โดยไม่มีอายุความมิใช่เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์มรดก จะนำอายุความตามมาตรา 1754 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับไม่ได้ การที่จำเลยที่ 1 รับเงินส่วนแบ่งมรดกไว้ ถือว่าจำเลยที่ 1 รับไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไม่ถือว่ามีการผิดนัดจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยให้โจทก์จนกว่ามีการบอกกล่าวทวงถามเงินส่วนแบ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6242/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอมและการได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินที่ครอบครองร่วมกัน
โจทก์และจำเลยได้รับการยกที่ดินส่วนที่ได้ครอบครองตั้งแต่บิดาทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งบิดาทั้งสองฝ่ายถึงแก่กรรมต่างก็ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดในส่วนที่ได้ครอบครองนั้นโดยไม่มีการโต้แย้งแนวเขตซึ่งกันและกันเป็นเวลาประมาณ30ปีมาแล้วและต่อมาภายหลังมีการขอแบ่งแยกและออกโฉนดเป็นของตนก็ยังคงเป็นไปตามที่ต่างฝ่ายครอบครองมาแม้นับตั้งแต่เวลาที่ได้มีการออกโฉนดใหม่จนถึงวันฟ้องจะไม่ถึง10ปีก็ตามแต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382และเมื่อโจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า10ปีโจทก์ย่อมได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินของจำเลยในส่วนที่ใช้มาเป็นเวลากว่า10ปีแล้วนั้นตามมาตรา1401ประกอบมาตรา1382แม้โจทก์อาจจะใช้เส้นทางอื่นได้ก็ไม่เป็นเหตุให้ภารจำยอมสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6242/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินเกิดจากการครอบครองปรปักษ์และสิทธิภาระจำยอมจากการใช้ทางต่อเนื่อง
โจทก์และจำเลยได้รับการยกที่ดินส่วนที่ได้ครอบครองตั้งแต่บิดาทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งบิดาทั้งสองฝ่ายถึงแก่กรรม ต่างก็ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดในส่วนที่ได้ครอบครองนั้นโดยไม่มีการโต้แย้งแนวเขตซึ่งกันและกันเป็นเวลาประมาณ 30 ปีมาแล้ว และต่อมาภายหลังมีการขอแบ่งแยกและออกโฉนดเป็นของตน ก็ยังคงเป็นไปตามที่ต่างฝ่ายครอบครองมา แม้นับตั้งแต่เวลาที่ได้มีการออกโฉนดใหม่จนถึงวันฟ้องจะไม่ถึง 10 ปี ก็ตาม แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา1382 และเมื่อโจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเดินออกสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยในส่วนที่ใช้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้น ตามมาตรา 1401 ประกอบ มาตรา 1382แม้โจทก์อาจจะใช้เส้นทางอื่นได้ก็ไม่เป็นเหตุให้ภาระจำยอมสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6214/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ vs. การจัดการมรดก: สิทธิในทรัพย์มรดกและการฟ้องเพิกถอนนิติกรรม
จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องการครอบครองปรปักษ์การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1โดยการครอบครองตามกฎหมายจึงแตกต่างไปจากที่เคยให้การต่อสู้คดีไว้ไม่มีประเด็นและมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามฎีกา เมื่อข. ตายที่พิพาทของข. ย่อมเป็นมรดกตกทอดเป็นของทายาทซึ่งรวมทั้งโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่1อย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันการที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยที่1เป็นผู้จัดการมรดกตามที่ได้ยื่นคำร้องขอจัดการมรดกที่พิพาทแสดงว่าจำเลยที่1ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกถือว่าจำเลยที่1ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นและเป็นตัวแทนของบรรดาทายาทเหล่านั้นในการแบ่งปันมรดกการที่จำเลยที่1ไปรับโอนมรดกที่พิพาทแล้วโอนให้ตนเองในฐานะส่วนตัวและจำเลยที่2จึงมิใช่การแบ่งปันมรดกตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกโดยสุจริตเมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวจึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากผู้จัดการมรดกและจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754วรรคหนึ่งมาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6046/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาจ้างซ่อมแซม: ใช้ 10 ปี ไม่ใช่ 1 ปี
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ว่าจ้างจำเลยที่1ซ่อมแซมถนนพิพาทโดยมีจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่1ซ่อมแซมถนนพิพาทและส่งมอบงานให้โจทก์แล้วต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์พบความชำรุดบกพร่องจึงแจ้งให้จำเลยที่1ซ่อมแซมแก้ไขจำเลยที่1เพิกเฉยโจทก์จึงจ้างบุคคลอื่นซ่อมแซมแก้ไขซึ่งจำเลยที่1ต้องรับผิดใช้ค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามที่ระบุในสัญญาจ้างและจำเลยที่2ต้องร่วมรับผิดด้วยถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดตามสัญญาจ้างธรรมดาซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ10ปีหาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา601ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานและเอกสาร การบุกรุกที่ดิน และการชดใช้ค่าเสียหาย
ว. พยานโจทก์มิใช่เป็นเพียงผู้ที่ได้รับคำบอกกล่าวจากเรือเอก ป. พยานจำเลย แต่ยังรู้เห็นข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่าง ๆ จากบุคคลและสิ่งของวัสดุก่อสร้างที่มีผู้บุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ ถือว่าเป็นประจักษ์พยานเมื่อเบิกความอย่างสมเหตุผลจึงรับฟังได้ การส่งเอกสารโดยวิธีโทรสารเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ส่งจะนำต้นฉบับของเอกสารไปลงในเครื่องโทรสารแล้วส่งโดยวิธีโทรสารไปยังเครื่องโทรสารของผู้รับ ฉะนั้นผู้ส่งจะเป็นผู้เก็บต้นฉบับไว้ ว.เบิกความว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นโทรสารที่เรือเอก ป.เป็นผู้ส่งมาให้ อ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งและเรือเอก ป.ก็เบิกความยอมรับว่าข้อความที่เขียนและลายมือชื่อเป็นของตนจริง อีกทั้ง ธ. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทจำเลยก็เบิกความยอมรับว่า เครื่องโทรสารที่ใช้โทรสารไปถึง อ. นั้นเป็นของจำเลยจริง และไม่ปฏิเสธว่าเรือเอก ป. ไม่ได้ส่งโทรสารไปยัง อ. ดังที่โจทก์นำสืบ และในชั้นพิจารณาจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด ถือว่าจำเลยยอมรับความถูกต้องแล้วจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานและเอกสารทางโทรสารในคดีละเมิดและบุกรุกที่ดิน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
การส่งเอกสารโดยวิธีโทรสารเป็นวิทยาการแบบใหม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันโดยทั่วไปว่าผู้ส่งจะนำต้นฉบับของเอกสารที่จะทำการส่งไปลงในเครื่องโทรเลขแล้วจัดการส่งโดยวิธีโทรสารไปยังเครื่องโทรสารของผู้รับ ต้นฉบับผู้ส่งจะเป็นผู้เก็บไว้ โทรสารที่โจทก์ส่งศาลเป็นพยานซึ่งจำเลยยอมรับความถูกต้องแล้ว จึงรับฟังได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5936/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครอง และผลกระทบต่อการจัดการมรดก
ม. ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ขายที่ดินให้ผู้คัดค้านทั้งสองและได้ส่งมอบการครอบครองให้แล้วผู้คัดค้านทั้งสองย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองโดยมิต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อ ม.ตายก็ไม่มีสิทธิครอบครองหรือทรัพย์สินดังกล่าวเป็นมรดกที่ต้องจัดการอีกต่อไป ม. ไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่จำต้องมีการตั้งผู้จัดการมรดกของ ม.