พบผลลัพธ์ทั้งหมด 940 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ - ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่อง: การฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงอื่นไม่ใช่ฟ้องแย้งที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากที่ดินแปลงหมายเลข337ซึ่งโจทก์เช่ามาจากโจทก์ร่วมจำเลยทั้งสองฟ้องแย้งว่าอาคารที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงหมายเลข338ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกันจึงเป็นฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมและขอบเขตการพิจารณาของศาล
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากที่ดินแปลงหมายเลข337 ซึ่งโจทก์เช่ามาจากโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งว่า อาคารที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงหมายเลข 338 ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน การทำไม้หวงห้าม และข้อยกเว้นความผิด
แม้ผ. จะได้ครอบครองที่ดินก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดให้เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติประกาศใช้แต่ผ. มิได้ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ภายใน90วันนับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับจึงถือว่าผ. สละสิทธิหรือประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วผ. จึงไม่มีสิทธิโอนที่ดินส่วนนี้ให้จำเลยการที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวจึงมีความผิด โจทก์นำสืบไม่ได้ความชัดว่าไม้พลวงไม้เขว้าและไม้มะค่าแต้ขึ้นอยู่ในหรือนอกเขตที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าไม้ดังกล่าวขึ้นอยู่ในที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองจึงมิใช่ไม้หวงห้ามแม้จำเลยตัดฟันแปรรูปและมีไว้ในครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้จำเลยก็ไม่มีความผิด ไม้ยางนั้นไม่ว่าจะขึ้นอยู่ณที่ใดในราชอาณาจักรก็เป็นไม้หวงห้ามทั้งสิ้นแต่โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยตัดฟันไม้ยางจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ผ่านตัวแทนเชิด การพิสูจน์ความเป็นตัวแทน และผลกระทบต่อการระงับหนี้
การเป็นตัวแทนเชิดหาจำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนไม่แม้ส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยก็อาจอ้างได้ว่าส.เป็นตัวแทนเชิดของโจทก์รับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวินิจฉัยว่าส. ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าส. เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยไม่อาจอ้างได้ว่าส. เป็นตัวแทนรับชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ข้ออื่นอีกจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ฎีกาและต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อคู่ความได้นำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้วศาลฎีกาจึงชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญารับสภาพหนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ, การรับชำระหนี้บางส่วนไม่ตัดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ
แม้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และที่5ได้เรียกชื่อว่าสัญญารับสภาพหนี้ก็ตามแต่มูลกรณีในสัญญานั้นเป็นเรื่องโจทก์กับจำเลยที่1และที่5ทำความตกลงกันกรณีที่จำเลยที่1และที่5ถูกโจทก์กล่าวหาว่าทำละเมิดต่อโจทก์ข้อความในสัญญาเป็นเรื่องตกลงให้จำเลยที่1และที่5ยอมชดใช้เงินค่าเสียหายในมูลละเมิดกับให้ผ่อนชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันดังนี้เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่1และที่5ตกลงระงับข้อพิพาทมีมีขึ้นจากมูลละเมิดนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้แต่เพียงอย่างเดียวไม่เมื่อจำเลยที่1และที่5ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกับโจทก์แล้วเช่นนี้ความรับผิดของจำเลยที่1และที่5ในมูลละเมิดก็ระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่1และที่5ให้รับผิดในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่ ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้นนอกจากสัญญาข้อ10ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้วในข้อ9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วยโดยระบุว่าถ้าผู้ซื้อไม่ใช่สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้วผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวนซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่าหากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนและผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา381วรรคสามที่บัญญัติว่า"ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้วจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้นไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องดังนั้นการที่จำเลยที่4และที่6ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขายจึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายและถือไม่ได้ว่าจำเลยที่4และที่6กระทำละเมิดแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ & เบี้ยปรับจากสัญญาซื้อขาย: การสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหาย
แม้สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้เรียกชื่อว่าสัญญารับสภาพหนี้ก็ตาม แต่มูลกรณีในสัญญานั้นเป็นเรื่องโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5ทำความตกลงกันกรณีที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 ถูกโจทก์กล่าวหาว่าทำละเมิดต่อโจทก์ข้อความในสัญญาเป็นเรื่องตกลงให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ยอมชดใช้เงินค่าเสียหายในมูลละเมิด กับให้ผ่อนชำระให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกัน ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 5 ตกลงระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นจากมูลละเมิดนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้แต่เพียงอย่างเดียวไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทกับโจทก์แล้วเช่นนี้ ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 5 ในมูลละเมิดก็ระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้รับผิดในมูลละเมิดอีกหาได้ไม่
ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้น นอกจากสัญญาข้อ 10 ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้ว ในข้อ 9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วย โดยระบุว่า ถ้าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้ว ผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวน ซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่า หากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน และผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว
ป.พ.พ.มาตรา 381 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขาย จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 กระทำละเมิดแก่โจทก์
ในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาซื้อขายนั้น นอกจากสัญญาข้อ 10 ได้กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาแล้ว ในข้อ 9ของสัญญาดังกล่าวยังได้กำหนดให้ผู้ขายต้องเสียเบี้ยปรับอีกด้วย โดยระบุว่า ถ้าผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาในกรณีที่เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้ว ผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบจำนวน ซึ่งในสัญญาซื้อขายก็ไม่ได้มีการตกลงยกเว้นไว้เลยว่า หากผู้ซื้อไม่แจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับแก่ผู้ขายแล้วผู้ซื้อจะหมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ดังนั้นเมื่อผู้ขายตามสัญญารายนี้ผิดสัญญาโดยส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน และผู้ซื้อได้รับมอบสิ่งของบางส่วนนั้นไว้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการรับชำระหนี้อันจะต้องแจ้งสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับ ไม่เป็นเหตุให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายตามสัญญาดังกล่าว
ป.พ.พ.มาตรา 381 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น"เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับเฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ยอมชำระหนี้โดยสิ้นเชิงแล้วและเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ไว้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการชำระหนี้บางส่วนหรือชำระหนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 4 และที่ 6 ซึ่งเป็นข้าราชการผู้มีหน้าที่ดำเนินการจัดซื้อของโจทก์รับชำระหนี้ไว้โดยไม่ได้แจ้งสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับไปยังผู้ขาย จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 กระทำละเมิดแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: พฤติการณ์ช่วยเหลือพาข้ามแดน-รับเงิน จี้ความรู้เจตนาจากเหตุแวดล้อม
การกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้นเป็นการยากที่จะนำสืบด้วยประจักษ์พยาน จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากกรณีแวดล้อมและพิรุธแห่งการกระทำการที่จำเลยที่1ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด่านทหารไทยและทหาร กัมพูชาแล้วพาคนร้ายนำรถยนต์บรรทุกสิบล้อข้ามแดนไปขายในประเทศ กัมพูชาโดยไม่มีการจดทะเบียนและต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ด่านชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่1รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่1ช่วยพาไปจำหน่ายนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นความผิดฐานรับ ของโจร แม้คำให้การในชั้นสอบสวนจะเป็น พยานบอกเล่า แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของ ส. ไว้โดยไม่ถูกต้องและคำให้การของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในชั้นสอบสวนก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังประกอบพยานอื่นทั้งได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง5วันคำให้การชั้นสอบสวนของ ส. จึงมีน้ำหนักรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อที่ดินเช่าก่อนกรณีผู้ให้เช่าขาย: ราคาตลาดที่ใช้บังคับ
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนาอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ก่อนจะขายจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 เสียก่อน โดยจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลสาลี(คชก.ตำบลสาลี) เพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันเสียก่อน ถ้าโจทก์ผู้เช่านาไม่ซื้อตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53 วรรคสาม จำเลยที่ 1 จึงจะขายให้จำเลยที่ 2 ได้ต่อไป เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ก่อนตามพ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 ซึ่ง มาตรา 54วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติว่า "ถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้ หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน ฯลฯ" บทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายจะคุ้มครองสิทธิของผู้เช่านาที่จะซื้อนาที่เช่าอยู่ก่อนบุคคลอื่น คำว่า "ราคาตลาดในขณะนั้น" จึงหมายถึงราคาตลาดในขณะผู้ให้เช่านาโอนขายนาให้แก่ผู้รับโอน มิใช่ราคาตลาดในขณะผู้เช่านาใช้สิทธิขอซื้อนาคืน
ราคาที่ คชก.ตำบล วินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยมาเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
ราคาที่ คชก.ตำบล วินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยมาเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 299/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่านาซื้อนาคืนจากผู้รับโอนตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ ราคาตลาดขณะโอน/ซื้อขาย
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนาอยู่ในขณะที่จำเลยที่1โอนขายให้แก่จำเลยที่2ก่อนจะขายจำเลยที่1มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา53เสียก่อนโดยจำเลยที่1ผู้ให้เช่านาต้องแจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล สาลี (คชก.ตำบล สาลี)เพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันเสียก่อนถ้าโจทก์ผู้เช่านาไม่ซื้อตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา53วรรคสามจำเลยที่1จึงจะขายให้จำเลยที่2ได้ต่อไปเมื่อจำเลยที่1ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่1ก่อนตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54ซึ่งมาตรา54วรรคหนึ่งได้บัญญัติว่า"ถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา53ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใดผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันฯลฯ"บทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายจะคุ้มครองสิทธิของผู้เช่านาที่จะซื้อนาที่เช่าอยู่ก่อนบุคคลอื่นคำว่า"ราคาตลาดในขณะนั้น"จึงหมายถึงราคาตลาดในขณะผู้ให้เช่านาโอนขายนาให้แก่ผู้รับโอนมิใช่ราคาตลาดในขณะผู้เช่านาใช้สิทธิขอซื้อนาคืน ราคาที่คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคหนึ่งหรือไม่มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของคชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหรือไม่ศาลย่อมต้องพิจารณาว่าราคาที่คชก.ตำบลวินิจฉัยมาเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ถ้ามิใช่ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด ศาลรับฟังพยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยที่ 2-3 มีส่วนร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนและนำสืบการวางแผนจับโดยให้เจ้าพนักงานตำรวจปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเป็นการสืบตามฟ้องหาเป็นการนอกฟ้องไม่ จำเลยคดีอาญามีสิทธินำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้โดยไม่ต้องซักค้านพยานโจทก์ไว้ก่อนแต่จะรับฟังได้หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลและไม่มีกฎหมายห้ามรับฟังข้อนำสืบต่อสู้คดีของจำเลยอื่น การจำหน่ายเฮโรอีนเป็นการกระทำผิดกฎหมายมีโทษสูงซึ่งผู้กระทำผิดย่อมปกปิดเป็นความลับถ้าจำเลยที่2และที่3มิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดก็ไม่มีเหตุที่ผู้กระทำผิดจะกล้าให้ร่วมรู้เห็นด้วย พยานโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามหน้าที่และไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุจะปรักปรำใส่ร้ายเมื่อเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นจนจับจำเลยได้จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง