พบผลลัพธ์ทั้งหมด 781 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันการศึกษาต่างประเทศ, อายุความดอกเบี้ย, และขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศที่ ย.ทำกับโจทก์ซึ่งข้อความในสัญญาที่ ย.ทำกับโจทก์มีว่าเมื่อย.เสร็จการศึกษาที่ย.ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือถูกเรียกตัวกลับ และ ย.ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์หรือกระทรวงทบวงกรมอื่นที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุน หรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน หรือ ย.กลับมารับราชการบ้างแต่ไม่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยสัญญาว่าหาก ย.ไม่ชดใช้ทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดของ ย.ทั้งสิ้นเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากครบกำหนด 3 ปี9 เดือน ที่ ย.ได้รับทุนไปศึกษาต่อย.ได้ขอลาศึกษาต่อด้วยทุนส่วนตัวหลายครั้ง และโจทก์ก็อนุมัติให้ ย.ลาศึกษาต่อโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยมิได้ทำสัญญาค้ำประกันการลาศึกษาต่อของย.ต่อโจทก์อีก จำเลยคงรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเดิมสำหรับการปฏิบัติตามสัญญาของ ย.ในการลาไปศึกษาต่อเป็นเวลา3 ปี 9 เดือน เท่านั้น สำหรับทุนที่ ย.จะต้องรับผิดคืนแก่โจทก์นั้น ปรากฏตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน และเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ. 2512ว่า หมายความถึงเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงานและเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงาน และหมายความรวมตลอดถึงเงินค่าพาหนะเดินทางด้วย ย.จึงต้องรับผิดใช้คืนเงินทุนที่ได้รับจากรัฐบาลฝรั่งเศสและค่าเครื่องบินทั้งขาไปและขากลับจากการศึกษาต่อ รวมทั้งเงินเดือนที่ ย.ได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อแก่โจทก์พร้อมทั้งเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่โจทก์มีหนังสือทวงถาม ย.จนถึงวันฟ้องนั้นเป็นการฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิมซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี แม้จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก่อนโจทก์นำคดีขึ้นสู่ศาล แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ในชั้นศาลว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยดังกล่าวขาดอายุความ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยค้างส่งนับถึงวันฟ้องเกินกว่า5 ปีจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4034/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความที่มีเงื่อนไขไม่สมบูรณ์ ไม่ระงับสิทธิฟ้องอาญา
ภายหลังจากจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมได้ฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาลชั้นต้นแล้วจำเลยยังตัดฟันต้นฝรั่งในที่ดินของโจทก์ร่วมอีก โจทก์ร่วมจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนเรียกจำเลยมาที่สถานีตำรวจโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงกันโดยโจทก์ร่วมไม่ประสงค์ที่จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย แต่ต้องการให้จำเลยย้ายออกไปจากที่ดินซึ่งจำเลยก็รับว่าจะออกจากที่ดินภายในกำหนด 2 เดือน และรับว่าจะไม่เรียกร้องค่ารื้อถอนจากโจทก์ร่วม การที่โจทก์ร่วมตกลงว่าโจทก์ร่วมไม่ประสงค์ที่จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยก็โดยมีเงื่อนไขว่า จำเลยต้องออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมภายในกำหนด2 เดือน แต่จำเลยยังไม่ออกจากที่ดินของโจทก์ กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายเพราะโจทก์ร่วมมิได้ตกลงว่าจะไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยตลอดไป แต่จะไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยต่อเมื่อจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมภายในกำหนด 2 เดือนดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4034/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงไม่ดำเนินคดีอาญาที่มีเงื่อนไขไม่สมบูรณ์ ไม่ถือเป็นการยอมความ สิทธิฟ้องอาญายังไม่ระงับ
การที่โจทก์ร่วมตกลงว่าไม่ประสงค์ที่จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยต้องออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมภายในกำหนด 2 เดือน ถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายเพราะมิได้ตกลงว่าจะไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยตลอดไป แต่จะไม่ดำเนินคดีต่อเมื่อจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ร่วมภายในกำหนด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับตามป.วิ.อ. มาตรา 39(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4006/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายส่งผลเสียหายต่อทางสาธารณะและเศรษฐกิจ ชี้ให้ริบยานพาหนะที่ใช้กระทำผิด
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่ทางราชการกำหนดถึง 9,300 กิโลกรัม มาเดินบนทางหลวงแผ่นดิน ให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3914/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการยืนยันภูมิลำเนาจำเลย
พนักงานเดินหมายได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยทั้งสามตามภูมิลำเนาในคำฟ้องแล้ว ไม่พบจำเลยทั้งสาม บ้านปิดประตูใส่กุญแจ ไม่มีผู้ใดทราบว่าคนในบ้านออกไปที่ใด จึงส่งไม่ได้ ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสาม ณ ภูมิลำเนาตามฟ้องอีกครั้ง หากส่งไม่ได้ขอให้ปิดหมายและสำเนาคำฟ้อง โดยโจทก์แนบหนังสือรับรองการจดทะเบียนประกอบข้ออ้าง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า "หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำเลยที่ 1 นายทะเบียนระบุว่าบริษัทจำเลยที่ 1 นายทะเบียนได้ขีดชื่อออกจากทะเบียนเป็นบริษัทร้างตามความในมาตรา 1246 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสามไม่มีภูมิลำเนาตามฟ้อง ให้โจทก์ยืนยันหลักฐานภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสามใหม่ภายใน 15 วัน การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้รอไว้ก่อน" คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดกระบวณพิจารณาอย่างหนึ่งของศาล เมื่อทนายโจทก์ลงลายมือชื่อในคำแถลงซึ่งมีหมายเหตุไว้ด้วยว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว ย่อมถือได้ว่าทนายโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนั้นแล้ว ศาลชั้นต้นไม่จำต้องส่งคำสั่งดังกล่าวให้ทนายโจทก์ทราบซ้ำอีก ดังนั้นการที่ทนายโจทก์มิได้ดำเนินการตามกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป .วิ.พ. มาตรา 174 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองที่ดินและการรังวัดเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ผู้ครอบครองไม่มีสิทธิยื่นคำขอหากชื่อไม่ปรากฏใน น.ส.3
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 179 โดย พ.ผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ได้ขายและโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ แต่ไม่ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อโจทก์โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโจทก์ยื่นคำขอรังวัดเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3)เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) ในชื่อของโจทก์ต่อจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้โดยอ้างว่ามีชื่อพ.เป็นผู้มีสิทธิในที่ดิน ดังนั้นเมื่อโจทก์มิได้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3)เลขที่ 179 แม้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำขอให้จำเลยทั้งสองเปลี่ยนแปลงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) นั้น ให้เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. 3ก.) ในชื่อของโจทก์ให้แก่โจทก์ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำขอเช่นนั้นได้ การที่จำเลยทั้งสองไม่รับดำเนินการให้ตามที่โจทก์ยื่นคำขอ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองที่ดินไม่ทำให้มีสิทธิขอเปลี่ยนชื่อใน น.ส.3 หากไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ
โจทก์มิได้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แม้โจทก์จะมีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้จำเลยเปลี่ยนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้น ให้เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) ในชื่อของโจทก์ได้ เพราะไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำขอเช่นนั้น การที่จำเลยไม่รับดำเนินการให้ตามที่โจทก์ขอจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3844/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องเปลี่ยนแปลงตัวจำเลยเกินขอบเขตตาม ป.วิ.พ. การแก้ไขคำฟ้องต้องไม่เปลี่ยนตัวจำเลย
การแก้ไขคำฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 179 จะต้องเป็นการแก้ไขข้อหาหรือข้ออ้างที่มีต่อจำเลย โดยการเพิ่มหรือลดทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มฟ้องเดิมให้บริบูรณ์มิใช่เป็นการเพิ่มหรือเปลี่ยนตัวจำเลย ซึ่งเป็นตัวบุคคลที่จะต้องระบุไว้แน่ชัดตามมาตรา 67 หากโจทก์ประสงค์จะให้บุคคลอื่นนอกจากบุคคลที่โจทก์ยื่นฟ้องเป็นจำเลยไว้ตามฟ้องเดิมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้แต่เดิมแล้วโจทก์ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยเดิมตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (3) ที่โจทก์ฟ้องบริษัท ร.เป็นจำเลยที่ 3ในคดีนี้มาตั้งแต่แรกโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลนั้น แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องบุคคลธรรมดาเป็นจำเลยที่ 3 แต่ได้ฟ้องนิติบุคคลเป็นจำเลยที่ 3 เท่านั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 15 เมษายน 2530 ขอแก้ไขคำฟ้องเปลี่ยนชื่อบริษัท ร. จำเลยที่ 3 เป็นบริษัท ร.หรือ ว. จำเลยที่ 3 โดยอ้างว่า คำว่าบริษัท ร.เป็นชื่อในทางการค้าหรือนามแฝงหรือฉายาของ ว. แล้วต่อมายื่นคำร้องลงวันที่ 15 มกราคม 2531 ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้ชื่อจำเลยที่ 3จากบริษัท ร. หรือ ว.เป็น ว.นั้น เท่ากับเป็นการขอแก้ไขคำฟ้องจากเดิมมาเป็นฟ้องบุคคลธรรมดาเพิ่มเป็นจำเลยที่ 3 ด้วย แล้วขอแก้ไขคำฟ้องอีกครั้งหนึ่งโดยขอเปลี่ยนตัวจำเลยที่ 3 จากนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่เป็นเรื่องที่จะขอแก้ไขคำฟ้องได้เช่นนั้นตามนัยแห่งบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงขอแก้ไขคำฟ้องเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องของโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบแล้ว บรรดากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งหมดในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับ ว. หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเช่นนั้นแล้ว รวมทั้งคำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ 8 มีนาคม 2531 ซึ่งสั่งให้จำหน่ายบริษัท ร.ออกจากสำนวนความ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ชอบที่ศาลจะเพิกถอนเสียตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 บริษัท ร.ตามฟ้องเดิมจึงยังคงมีฐานะเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้อยู่ และแม้บริษัท ร.มิได้ฎีกาขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาอื่นนอกจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ลงวันที่ 15 เมษายน 2530 และวันที่ 15 มกราคม 2531กับคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 8 มีนาคม 2531 ที่ให้จำหน่ายบริษัท ร.ออกจากสำนวนความ แต่เมื่อกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการพิจารณาคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้เองตามมาตรา 142 (5)ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นทั้งหมดในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับ ว.หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ลงวันที่ 15 เมษายน 2530 เป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3788/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ในเขตควบคุม ต้องได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ แม้มีใบอนุญาตโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม
การที่จำเลยใช้กบไฟฟ้าและเลื่อยวงเดือนของกลางซึ่งติดตั้งบนแท่นไม้ไสและเลื่อยไม้ของกลางอันเป็นการแปรรูปไม้ที่สถานที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุจึงเป็นที่ซึ่งจัดไว้เป็นที่ทำการแปรรูปไม้อันเป็นโรงงานแปรรูปไม้ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 4(13) แม้จำเลยได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกให้ตามพระราชบัญญัติ โรงงานฯ แล้วก็ตาม แต่โรงงานของจำเลยตั้งอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ จำเลยก็ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ด้วยเมื่อจำเลยไม่ได้รับอนุญาตตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดสำเร็จเมื่อมีการตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะยังมิได้แปรรูปไม้ก็ตาม ความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานแปรรูปไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นไต่สวนอนาถา และการนำมาใช้ในชั้นพิจารณา: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัย
ในชั้นไต่สวนอนาถา โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานและบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ไว้ แม้บัญชีระบุพยานดังกล่าวโจทก์จะได้พิมพ์ข้อความต่อท้ายบัญชีพยานว่า "ไต่สวนอนาถา" แต่ในชั้นพิจารณาก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นอีก แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะถือเอาบัญชีระบุพยานทั้งสองฉบับที่ยื่นไว้ในชั้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ในชั้นพิจารณาด้วย ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 แล้ว โจทก์ชอบที่นำพยานตามบัญชีระบุพยานดังกล่าวมาสืบได้