คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมศักดิ์ วิธุรัติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 781 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน ผู้ร่วมกระทำผิดมีส่วนรับผิดชอบ
คำว่า "ผู้ใดออกเช็ค" ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้น มิได้หมายความว่า ผู้ที่จะมีความผิดคือผู้ออกเช็คเท่านั้น แต่อาจจะมีผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับผู้ออกเช็ค และถือว่าเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ได้
จำเลยที่ 2 เป็นหนี้เงินยืมโจทก์และนำเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายมากรอกข้อความต่อหน้าโจทก์ แล้วลงชื่อสลักหลังมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินยืมโดยรับรองว่าเช็คพิพาทสามารถนำไปขึ้นเงินได้แน่นอน เช่นนี้ เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คพิพาทโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 แต่ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2499 เป็นเรื่องพิมพ์ผิดพลาด ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ตรงตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ประกอบกับมาตรา 215 และ 225 และไม่ถือเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 แต่อย่างใด
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ได้วางเงินจำนวนตามเช็คต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กระทรวงยุติธรรม และได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วเป็นการบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น ประกอบกับจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุและประวัติของจำเลยที่ 2 ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับพระราชทานยศครั้งสุดท้ายเป็นพลโทและเกษียณราชการโดยไม่มีประวัติด่างพร้อยด้วยแล้ว ศาลฎีการอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2525/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกันออกเช็คผิดกฎหมาย แม้ไม่ใช่ผู้ออกเช็คโดยตรง ศาลพิจารณาลดโทษจากความเสียหายที่ชดใช้
คำว่า "ผู้ใดออกเช็ค" ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้นมิได้หมายความว่า ผู้ที่จะมีความผิดคือผู้ออกเช็คเท่านั้น แต่อาจจะมีผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับผู้ออกเช็ค และถือว่าเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ได้ จำเลยที่ 2 เป็นหนี้เงินยืมโจทก์และนำเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายมากรอกข้อความต่อหน้าโจทก์ แล้วลงชื่อสลักหลังมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินยืมโดยรับรองว่าเช็คพิพาทสามารถนำไปขึ้นเงินได้แน่นอน เช่นนี้ เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คพิพาทโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 แต่ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2499 เป็นเรื่องพิมพ์ผิดพลาด ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ตรงตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190ประกอบกับมาตรา 215 และ 225 และไม่ถือเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2แต่อย่างใด ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ได้วางเงินจำนวนตามเช็คต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กระทรวงยุติธรรม และได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว เป็นการบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นประกอบกับจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงอายุและประวัติของจำเลยที่ 2 ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับพระราชทานยศครั้งสุดท้ายเป็นพลโทและเกษียณราชการโดยไม่มีประวัติด่างพร้อยด้วยแล้ว ศาลฎีการอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานป่าไม้ทุจริตทำไม้ผิดพื้นที่และปลอมแปลงหลักฐานการครอบครองไม้
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีหน้าที่ควบคุมการทำไม้โดยเป็นผู้ควบคุมการตัดฟันไม้และตีตราประจำตัวชักลากไม้ในบริเวณที่จะสร้างเขื่อน จำเลยได้ควบคุมการทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยทำไม้ที่อยู่นอกเขตการสร้างเขื่อนซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ทำและเป็นผู้สั่งให้ชักลากไม้ออกจากป่ามากองรวมไว้ที่ริมทางและตีตราชักลากไม้ประจำตัวของตนบนท่อนไม้ที่ชักลากออกมาแล้วเพื่อลวงเจ้าพนักงานให้เห็นว่าเป็นไม้ที่ได้ทำอยู่ในเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำไม้และเป็นไม้ที่ได้ทำโดยถูกต้องตามกฎหมาย พฤติการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องเป็นผู้ครอบครองหรือร่วมกับบุคคลอื่นครอบครองไม้ของกลางไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดฐานมีไม้ท่อนยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานควบคุมการทำไม้โดยมิชอบ ทำไม้ผิดพื้นที่ และครอบครองไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีหน้าที่ควบคุมการทำไม้โดยเป็นผู้ควบคุมการตัดฟันไม้และตีตราประจำตัวชักลากไม้ในบริเวณที่จะสร้างเขื่อน จำเลยได้ควบคุมการทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยทำไม้ที่อยู่นอกเขตการสร้างเขื่อนซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตให้ทำและเป็นผู้สั่งให้ชักลากไม้ออกจากป่ามา กอง รวมไว้ที่ริมทางและตีตราชักลากไม้ประจำตัวของตนบนท่อนไม้ที่ชักลากออกมาแล้วเพื่อลวงเจ้าพนักงานให้เห็นว่าเป็นไม้ที่ได้ทำอยู่ในเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำไม้และเป็นไม้ที่ได้ทำโดยถูกต้องตามกฎหมายพฤติการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องเป็นผู้ครอบครองหรือร่วมกับบุคคลอื่นครอบครองไม้ของกลางไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดฐานมีไม้ท่อนยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกง vs. ฉ้อโกงประชาชน: การเช่าพระเครื่องแอบอ้างสมเด็จพระเทพฯ และความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้เสียหาย 4 คนได้ทราบว่าที่วัด พ. มีพระเครื่องซึ่งเป็นของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีให้เช่าบูชา โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดดังกล่าวเป็นผู้นำออกให้เช่าผู้เสียหายทั้งสี่จึงไปเช่าพระเครื่องจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1รับรองว่าพระเครื่องดังกล่าวเป็นพระเครื่องที่ได้มาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ซึ่งความจริงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ไม่เคยทรงจัดสร้างพระเครื่องดังกล่าวและไม่เคยทรงพระราชทานแก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้โฆษณาให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงการให้เช่าพระเครื่อง หากเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายทั้งสี่ทราบข่าวมาเองแล้วมาติดต่อขอเช่าพระเครื่องจากจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน คงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 นำเงินที่ได้จากการให้เช่าพระเครื่องส่วนหนึ่งไปปรับปรุงซ่อมศาลากรรมฐานของวัดดังกล่าว แต่พฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 เป็นการร้ายแรงนำความเสื่อมเสียมาสู่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีและพุทธศาสนาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งหน้าที่กรรมการตรวจคะแนนเลือกตั้ง และการขาดเจตนาทุจริต ทำให้ไม่ความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้ง
มีการทุจริตโดยมีการทอดบัตรเลือกตั้งจำนวนหนึ่งลงไปใน หีบบัตรเลือกตั้งในหน่วยลงคะแนนที่จำเลยรับผิดชอบอยู่ แต่ตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดฯ ได้แบ่งหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจนับคะแนนออกเป็น 5 ฝ่าย ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ตรวจบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 8 ไม่ปรากฏว่าได้เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 2ทำหน้าที่หรือรู้เห็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟัง ไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 8 กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ส่วนการทำรายงานแสดงผลการนับคะแนนซึ่งเป็นหน้าที่ของกรรมการตรวจคะแนนทุกคนนั้น เมื่อมีการแบ่งหน้าที่ทำกันและจำเลยที่ 3ถึงที่ 8 ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งและทอดบัตรเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าใด การทำรายงานแสดงผลการนับคะแนน ย่อมทำไปตามที่ปรากฏจากบัญชีผู้เลือกตั้งและบัตรเลือกตั้งที่ผู้ใช้สิทธิทอด แม้จะปรากฏว่ารายงานแสดงผลการนับคะแนนไม่ตรงต่อความเป็นจริงก็ไม่อาจฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 8มีเจตนาทุจริตร่วมกับจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานดำเนินการเลือกตั้ง มีหน้าที่เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลการเลือกตั้งประจำหน่วยลงคะแนน ซึ่งเป็นหน้าที่ทั่ว ๆ ไปเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเรียบร้อยหาได้มีหน้าที่ตรวจบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งไม่ จำเลยที่ 9ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คะแนนมีหน้าที่แต่เพียงขีดคะแนนลงบนแผ่นป้ายกระดานดำในตอนที่มีการนับคะแนนเท่านั้นมิได้มีหน้าที่อื่นเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 9 เข้าไปช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2504/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ซื้อจะไม่ทราบวันขายทอดตลาดจากการแจ้งโดยวิธีปกติ
จำเลยที่ 4 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ตามฟ้อง แต่พนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องให้ไม่ได้ เพราะบ้านเลขที่ดังกล่าวถูกรื้อถอนไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้ประกาศหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 4 กระบวนพิจารณา หลังจากนั้นในการแจ้งวันนัด ตลอดจนการแจ้งการยึดทรัพย์และวันขายทอดตลาด ทำโดยการปิดประกาศที่หน้าศาลถือได้ว่าการส่งหนังสือแจ้งการยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยที่ 4 ไม่สามารถทำได้โดยวิธีธรรมดา จึงต้องส่งโดยวิธีอื่น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งหนังสือดังกล่าวโดยการปิดประกาศหน้าศาลเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งโดยชอบ ถือว่าจำเลยที่ 4 ทราบวันขายทอดตลาดแล้ว
เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทรวม 3 ครั้ง เป็นเวลาเกือบ 5 เดือน ครั้งสุดท้ายมีผู้เข้าสู้ราคา 5 คน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายแก่ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน2,680,000 บาท สูงกว่าราคาประเมิน ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าที่ดินพิพาทมีราคาไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาทก็เป็นเพียงการคาดคะเน เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่าการขายทอดตลาดชอบแล้ว จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2504/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและแจ้งการขายทอดตลาดโดยการปิดประกาศหน้าศาลชอบด้วยกฎหมายเมื่อส่งโดยวิธีปกติไม่ได้ และการขายทอดตลาดในราคาที่สมควร
จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามฟ้อง แต่พนักงานเดินหมาย ส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องให้ไม่ได้ เพราะบ้านเลขที่ดังกล่าวถูกรื้อ ไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้ประกาศหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกสำเนาฟ้องให้จำเลย หลังจากนั้นในการแจ้งวันนัด ตลอดจนการแจ้งการยึดทรัพย์และวันขายทอดตลาดทำโดยการปิดประกาศที่หน้าศาลถือได้ว่าการส่งหนังสือแจ้งการยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาด ให้จำเลย ไม่สามารถทำได้โดยวิธีธรรมดา ดังนี้ที่ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้ส่งหนังสือดังกล่าวโดยการปิดประกาศหน้าศาล เป็นการใช้ดุลพินิจ สั่งโดยชอบ ถือว่าจำเลยทราบวันขายทอดตลาดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทรวม 3 ครั้งเป็นเวลาเกือบ 5 เดือน ครั้งสุดท้ายมีผู้เข้าสู้ราคา 5 คน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายแก่ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 2,680,000 บาท สูงกว่าราคาประเมิน ที่จำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทมีราคาไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาทก็เป็นเพียงการคาดคะเน เมื่อไม่ปรากฏว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่าการขายทอดตลาด ชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2412/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทจำเลยได้รับเงินกู้จริงหรือไม่ สัญญาไม่สมบูรณ์ใช้ฟ้องร้องไม่ได้ ศาลไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วต่อมาจำเลยได้แย่งชิงสัญญากู้ที่มีลายมือชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ไปฉีกทิ้ง จำเลยให้การว่าได้ทำสัญญากู้จริงแต่โจทก์ไม่มีเงินให้กู้จึงฉีกท่อนล่างที่มีชื่อจำเลยและพยานออก ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้ ประเด็นข้อพิพาท จึงมีเพียงว่า จำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วหรือไม่เท่านั้นหามีประเด็นเรื่องไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือด้วยไม่ การที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องไม่มีลายมือชื่อจำเลยผู้กู้จึงเป็นสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่นอกประเด็นและไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดสิทธิเจ้าของที่ดินจากการกีดขวางการใช้ถนนส่วนกลาง และการก่อสร้างปิดกั้นแสงลม
ถนนทุกสายในหมู่บ้านรวมทั้งถนนซอย ที่จำเลยสร้างประตูเหล็กปิดกั้นเป็นถนนที่เจ้าของที่ดินผู้จัดสรรสร้างไว้เพื่อเป็นที่สาธารณูปโภคแก่เจ้าของที่ดินและบ้านในหมู่บ้านทุกแปลง โจทก์เคยใช้ถนนซอย ดังกล่าวเป็นที่กลับรถยนต์มาก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กปิดกั้น เมื่อถนนซอย นี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ในการกลับรถยนต์ได้ ถนนซอย ดังกล่าวจึงมิใช่มีไว้เพียงเพื่อเป็นทางเข้าออกบ้านของจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นจึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้กลับรถยนต์ได้ แม้ประตูเหล็กไม่ได้ใส่กุญแจโจทก์สามารถที่จะเปิดประตูกลับรถยนต์ได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการสะดวก การที่จำเลยทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนซอยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สะดวกในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อประตูเหล็กออกไปได้ แม้ลักษณะของอาคารที่จำเลยสร้างจะเป็นการสร้างหลังคาคลุมถนนซอย มีความสูงเหนือกำแพงรั้วด้านข้างของบ้านโจทก์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างติดกับรั้วบ้านโจทก์ หลังคาของอาคารเกือบจะติดกับหลังคาบ้านโจทก์ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวแม้จะมีช่องว่างระหว่างรั้วบ้านโจทก์กับหลังคาอาคารเพื่อให้แสงสว่างและลมผ่านไปได้ แต่แสงสว่างและลมก็ไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติเหมือนอย่างเช่นที่ไม่มีหลังคาอาคาร การที่จำเลยสร้างอาคารคลุมถนนซอย สาธารณะโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ ปิดบังทางของแสงสว่างและลมที่จะเข้าไปในบ้านของโจทก์ได้ตามปกติย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรืออย่างน้อยก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคาดคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้ออาคารออกไปจากถนนซอย สาธารณะได้.
of 79