คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัมพร ทองประยูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 576 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10162/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และอัตราดอกเบี้ยเงินเดือนที่หักไว้
ตามคำสั่งของจำเลยที่สั่งลงโทษโจทก์และให้โจทก์ชดใช้ทางแพ่งอ้างเหตุผลว่าโจทก์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบขาดความสนใจ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของจำเลย ไม่ป้องกันและเก็บรักษาเงิน เมื่อปรากฏว่าเงินที่หายไปไม่ได้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำเลยไม่มีสิทธิหักเงินเดือนของโจทก์เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
เมื่อจำเลยหักเงินเดือนของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าวซึ่งจะต้องคืนให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจตกอยู่ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.พนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔และระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งไม่ได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดการจ่ายค่าจ้างไว้ดังเช่นประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๑ ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยของเงินเดือนที่จำเลยหักไว้และต้องคืนให้แก่โจทก์จึงต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ คือ อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาซื้อขายที่ดินตามประกาศคณะปฏิวัติ: ไม่บังคับใช้ราคาประเมินหากไม่มีการจดทะเบียน
ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน2515 ข้อ 76 มิได้บังคับว่าหากในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไม่มีการจดทะเบียนซื้อขายที่สำนักงานทะเบียนที่ดินแล้ว จะต้องถือเอาราคาที่ดินของกรมที่ดินกำหนดเป็นเกณฑ์แทน เพราะมิใช่ราคาซื้อขายกันในท้องตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินค่าทดแทนที่ดินเวนคืนตามราคาตลาด: ศาลฎีกาตัดสินให้ใช้ราคาซื้อขายจริงเป็นเกณฑ์
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 มิได้บังคับว่าหากในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไม่มีการจดทะเบียนซื้อขายกันที่สำนักงานทะเบียนที่ดินแล้ว จะต้องถือเอาราคาที่ดินของกรมที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมาเป็นเกณฑ์ การที่จำเลยที่ 2 ถือเอาราคาที่ดินตามบัญชีดังกล่าวมาเป็นเกณฑ์กำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์จึงไม่ถูกต้องเพราะมิใช่ราคาซื้อขายกันในท้องตลาด โจทก์จึงมีอำนาจขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดได้ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯ ใช้บังคับ ไม่มีการซื้อขายที่ดินบริเวณที่ถูกเวนคืนการที่โจทก์นำสืบว่าได้มีการซื้อขายที่ดินที่มีสภาพและทำเลที่ตั้งเช่นเดียวกับที่ดินของโจทก์ ในราคาตารางวาละ 15,000 บาทจึงเป็นการเพียงพอที่ศาลจะใช้ดุลพินิจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบเพื่อคำนวณหาราคาที่ดินของโจทก์ตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับได้ จะถือว่าโจทก์ไม่นำสืบจึงต้องถือตามที่จำเลยที่ 2กำหนดไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอน นส.3 ต้องฟ้องบุคคลภายนอกที่มีสิทธิเกี่ยวข้องด้วย มิฉะนั้นถือเป็นการฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วจดทะเบียนโอนขายให้ ต.ในวันเดียวกัน ต. จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่ธนาคาร ก.ดังนั้น ผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนอกจากจำเลยแล้วยังมีเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ ต. และธนาคาร ก.ด้วย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียวซึ่งไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้วโดยมิได้ฟ้องหรือเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นคู่ความด้วยแต่โจทก์กลับขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และนิติกรรมดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์มิอาจฟ้องบังคับได้ ชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และการจดทะเบียนสิทธิในที่ดิน จำเป็นต้องมีคู่ความครบถ้วน
เดิมโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทได้แจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) ที่ดินพิพาทไว้ ต่อมาจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าวและเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้ จากนั้นจำเลยได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้ ต. และต. จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ธนาคารในวันเดียวกัน ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้วเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และการจดทะเบียนสิทธินิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวมาเพียงคนเดียว โดยมิได้ฟ้องหรือเรียกเจ้าพนักงานที่ดิน ต. และธนาคารเข้ามาเป็นคู่ความด้วย จึงเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมกระทบสิทธิบุคคลภายนอก
โจทก์เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วจดทะเบียนโอนขายให้ ต. ในวันเดียวกันต.จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่ธนาคาร ก. ดังนั้น ผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาท นอกจากจำเลยแล้วยังมีเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ ต. และธนาคาร ก.ด้วย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียวซึ่งไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้วโดยมิได้ฟ้องหรือเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นคู่ความด้วย แต่โจทก์กลับขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และนิติกรรมดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดี ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145โจทก์มิอาจฟ้องบังคับได้ ชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายสติกเกอร์หลังจำเลยสั่งซื้อวัตถุดิบแล้ว ถือเป็นการผิดสัญญาโจทก์ จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสงจำเลยที่ 1 บอกราคาค่าจ้างและจะนำตัวอย่างสติกเกอร์มาให้ดูโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ครั้นดูตัวอย่างสติกเกอร์แล้วโจทก์ไม่พอใจ จึงได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้จำเลยที่ 1ดู ต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก20,000 บาท โจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไร แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการที่เมืองฮ่องกงและได้วางเงินมัดจำไว้เช่นกันแต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาเสียก่อน ดังนี้ หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาและการริบเงินมัดจำ กรณีผู้ว่าจ้างเห็นว่าราคาแพงเกินไป
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ทำสติกเกอร์ชนิดโปร่งแสง จำเลยที่ 1 บอกราคาค่าจ้างและจะนำตัวอย่างสติกเกอร์มาให้ดู โจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ครั้นดูตัวอย่างสติกเกอร์แล้วโจทก์ไม่พอใจ จึงได้นำเบอร์สติกเกอร์ที่ต้องการมาให้จำเลยที่ 1 ดู ต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากจะให้ใช้สติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการแล้วโจทก์จะต้องเพิ่มเงินค่าจ้างอีก 20,000 บาท โจทก์ทราบแล้วก็ไม่ว่าอะไร แสดงว่าโจทก์ไม่ปฏิเสธ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับการขอเพิ่มราคาตามที่จำเลยที่ 1 เสนอ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสติกเกอร์เบอร์ที่โจทก์ต้องการที่เมืองฮ่องกงและได้วางเงินมัดจำไว้เช่นกัน แต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาเสียก่อนดังนี้ หากโจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ก็ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จำเลยที่ 1จะไม่ทำสติกเกอร์ให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสติกเกอร์ไว้แล้ว สาเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้นเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 คิดราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ 1 มีสิทธิริบเงินมัดจำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดิน: สิทธิการรื้อถอนและการชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ70 ส่วนอีกร้อยละ 30 ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ตามป.พ.พ. มาตรา 1310, 1311 หาใช่เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่
การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนั้น จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีเจตนากระทำความผิดอาญา หาใช่การกระทำโดยมีเจตนา-สุจริตตามความหมายในคดีส่วนแพ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินผู้อื่น: พิจารณาเจตนาสุจริตและสิทธิการรื้อถอน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ 70ส่วนอีกร้อยละ 30 ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310,1311หาใช่เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่ การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนั้น จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีเจตนากระทำความผิดอาญา หาใช่การกระทำโดยมีเจตนาสุจริตตามความหมายในคดีส่วนแพ่งไม่
of 58