พบผลลัพธ์ทั้งหมด 576 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติ: การเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์
เดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ต่อมานายอำเภอท้องที่ ได้ประกาศหวงห้ามที่พิพาทไว้เพื่อให้ประชาชนพักผ่อนหย่อนใจ และอาบน้ำร้อน ซึ่งที่พิพาทมิใช่นายอำเภอท้องที่ประกาศหวงห้ามแล้วไม่มีประชาชนใช้ประโยชน์อะไรเลย กลับปรากฏว่าเป็นที่ที่ประชาชนใช้พักผ่อนหย่อนใจ ใช้อาบน้ำร้อน ทั้งมีท่อซีเมนต์ฝังลงในดิน เป็นบ่อมีศาลาสำหรับพักร้อนตั้งแต่นั้นมา ดังนั้นที่พิพาทจึงเป็นที่ รกร้างว่างเปล่ามีสภาพเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ใช้เพื่อ สาธารณประโยชน์และเป็นที่ดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นที่ สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1)(2) การที่นายอำเภอท้องที่ประกาศหวงห้ามที่พิพาทไว้จะดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นที่สาธารณสมบัติของ แผ่นดินพ.ศ. 2478 โดยชอบหรือไม่ หาเป็นข้อสาระสำคัญแต่ประการใด ในเมื่อที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว และแม้ต่อมาจะมีผู้ครอบครองที่พิพาทจนกระทั่งทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ และโจทก์ได้รับสิทธิครอบครองมาโดยการซื้อจากการขาย ทอดตลาดตามคำสั่งศาลก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมาย เฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 โจทก์จึงไม่อาจได้สิทธิครอบครองที่พิพาท รวมทั้งไม่อาจออกเอกสารสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทที่โจทก์ได้รับโอนมาจึงเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลย มี อำนาจที่จะออกคำสั่งเพิกถอนเสียได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงตามคำแถลงของโจทก์ และเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์มาเป็นข้อวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็น ที่พลเมืองใช้ร่วมกันหาเป็นการนอกฟ้องไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5344/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่คู่ความยกขึ้น
ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณา ไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้องและไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อฟ้องโจทก์มิได้อ้างว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5337/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย - เจ้าของรวม - การแบ่งแยกที่ดิน - การบังคับตามสัญญา - ฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยทั้งสองและ ส.ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน ต่อมาโจทก์ตกลงจะซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยเพื่อนำไปจัดสรรขายโดยทำสัญญาจะซื้อจะขายระบุเงื่อนไขว่า ผู้จะขายจะทำการรังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดแปลงใหม่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของผู้จะขายและแจ้งให้ผู้จะซื้อทราบ ผู้จะซื้อจะชำระเงินตามงวดที่ 1 จำนวน1,416,000 บาท ภายใน 30 วัน หลังจากวันรับแจ้ง ปรากฏว่าจำเลย ไปทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินออกเป็นโฉนดย่อยแล้ว แต่ยังมีชื่อส. เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยอยู่ ดังนี้ แม้จำเลยจะนำสืบอ้างว่าส. ยินดีจะโอนที่ดินให้โจทก์เมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ตามโจทก์ก็ไม่อาจฟ้องบังคับ ส. ให้โอนที่ดินให้ได้ เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันข้อกำหนดตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดออกมาเป็นส่วนของจำเลยก่อน ย่อมเป็นข้อสาระสำคัญของสัญญา เนื่องจากโจทก์จะซื้อที่ดินไปเพื่อจัดสรรขาย หากที่ดิน ที่ จะซื้อขายกันยังมีชื่อของผู้ที่มิใช่คู่สัญญากับโจทก์ ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยโดยโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับ ก็ย่อมไม่อาจ เสี่ยงซื้อที่ดินไปจัดสรรได้ กรณีเป็นเรื่องจำเลยไม่ปฏิบัติการ อันเป็นข้อสำคัญก่อนจึงไม่อาจเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ ยังไม่ชำระหนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิ บอกเลิกสัญญาแต่การที่จำเลยมิได้ปฏิบัติการแบ่งแยกโฉนดออกมาเป็น กรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยตามข้อตกลง จำเลยจึงตกเป็นฝ่าย ผิดสัญญา โจทก์ มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาในส่วนที่ สภาพแห่งหนี้สามารถให้บังคับได้ โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่ท้ายสัญญา เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทมี ส. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสอง และไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ที่ จะ ให้ ส.ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง คำขอของโจทก์จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะบังคับได้โดยไม่กระทบถึงสิทธิของ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี คำขอของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่อาจบังคับได้ สัญญาจะซื้อจะขายมิได้กำหนดให้ผู้ใดออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 457 คือพึงออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย แม้คดีจะฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็จะขอให้ จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการโอนเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5337/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: จำเลยต้องแบ่งแยกที่ดินให้ชัดเจนก่อนโจทก์ชำระเงิน, ศาลบังคับได้แม้มีเจ้าของร่วม
จำเลยทั้งสองและ ส.ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน ต่อมาโจทก์ตกลงจะซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยเพื่อนำไปจัดสรรขาย โดยทำสัญญาจะซื้อจะขายระบุเงื่อนไขว่า ผู้จะขายจะทำการรังวัดแบ่งแยกและออกโฉนดแปลงใหม่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของผู้จะขาย และแจ้งให้ผู้จะซื้อทราบ ผู้จะซื้อจะชำระเงินตามงวดที่ 1 จำนวน 1,416,000 บาท ภายใน 30 วัน หลังจากวันรับแจ้ง ปรากฏว่าจำเลยไปทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินออกเป็นโฉนดย่อยแล้ว แต่ยังมีชื่อ ส.เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยอยู่ ดังนี้ แม้จำเลยจะนำสืบอ้างว่า ส.ยินดีจะโอนที่ดินให้โจทก์เมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ตาม โจทก์ก็ไม่อาจฟ้องบังคับ ส.ให้โอนที่ดินให้ได้ เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันข้อกำหนดตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดออกมาเป็นส่วนของจำเลยก่อน ย่อมเป็นข้อสาระสำคัญของสัญญา เนื่องจากโจทก์จะซื้อที่ดินไปเพื่อจัดสรรขาย หากที่ดินที่จะซื้อขายกันยังมีชื่อของผู้ที่มิใช่คู่สัญญากับโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยโดยโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับ ก็ย่อมไม่อาจเสี่ยงซื้อที่ดินไปจัดสรรได้ กรณีเป็นเรื่องจำเลยไม่ปฏิบัติการอันเป็นข้อสำคัญก่อน จึงไม่อาจเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่การที่จำเลยมิได้ปฏิบัติการแบ่งแยกโฉนดออกมาเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยตามข้อตกลง จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาในส่วนที่สภาพแห่งหนี้สามารถให้บังคับได้
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่ท้ายสัญญา เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทมี ส.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสอง และไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ที่จะให้ ส.ปฏิบัติตามข้อขอตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง คำขอของโจทก์จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะบังคับได้โดยไม่กระทบถึงสิทธิของ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี คำขอของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่อาจบังคับได้
สัญญาจะซื้อจะขายมิได้กำหนดให้ผู้ใดออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 457 คือพึงออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย แม้คดีจะฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็จะขอให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการโอนเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่ท้ายสัญญา เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทมี ส.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสอง และไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ที่จะให้ ส.ปฏิบัติตามข้อขอตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง คำขอของโจทก์จึงไม่อยู่ในสภาพที่จะบังคับได้โดยไม่กระทบถึงสิทธิของ ส.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี คำขอของโจทก์ส่วนนี้จึงไม่อาจบังคับได้
สัญญาจะซื้อจะขายมิได้กำหนดให้ผู้ใดออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 457 คือพึงออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย แม้คดีจะฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็จะขอให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการโอนเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5258/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าสัตว์ต้องเป็นไปตามวันเวลาในใบอนุญาต เนื้อสัตว์ที่ฆ่าผิดเวลาถือเป็นเนื้อสัตว์ที่ฆ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต
เนื้อกระบือที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นเนื้อของกระบือที่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าโดยถูกต้อง แต่มิได้ฆ่าภายในกำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 กำหนดให้ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าสัตว์จะต้องฆ่าสัตว์นั้นตามวันเวลาระหว่างที่ระบุไว้ในใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่ากฎหมายกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดวันเวลาที่จะฆ่าไว้ในใบอนุญาต การฆ่าสัตว์จึงต้องปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาต จึงจะถือเป็นการปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อกระบือมิได้ฆ่าตามวันและระหว่างเวลาที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ถือได้ว่ามิได้ฆ่าโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื้อกระบือที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายจึงเป็นเนื้อสัตว์ที่ฆ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502มาตรา 16,19.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการบังคับคดีและการโต้แย้งสิทธิ: ต้องยื่นคำร้องก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น และสิทธิซื้อขายเป็นสิทธิของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำการละเมิดโจทก์โดยดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอในลักษณะที่จะให้มีการเพิกถอนการบังคับคดี โดยไม่ได้เรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 1กรณีเช่นนี้โจทก์จะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง โดยยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้นลงโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์เพียงขอซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ยอมขายคืนให้ การที่จำเลยที่ 2จะขายคืนให้โจทก์หรือไม่เป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องได้ที่โจทก์ขอซื้อจึงเป็นเพียงการแสดงเจตนาต่อจำเลยที่ 2 เท่านั้น จำเลยที่ 2จะสนองรับเจตนาของโจทก์หรือไม่จึงอยู่ที่ความพอใจของจำเลยที่ 2เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่สนองรับเจตนาของโจทก์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4680/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของเจ้าของทรัพย์ที่ถูกจำนำและไม่คืน การแย่งกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336
โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจำนำ แต่ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของเหรียญเงินที่ ว. นำไปจำนำแก่จำเลย แล้วจำเลยไม่ยอมคืนให้เมื่อมีการไถ่จำนำ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยได้แย่งกรรมสิทธิ์ในเหรียญเงินของโจทก์มาเป็นของตน โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 จึงมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4677/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยตัวผู้ต้องหาแล้วนำตัวอื่นมาแทนที่ พนักงานสอบสวนมีความผิดฐานกักขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหารวม 3 คน แล้วนำผู้มีชื่อเข้าเป็นผู้ต้องหาแทนขณะควบคุมผู้ต้องหาทั้งสามดังกล่าวกับพวกจากศาลจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อไปคุมขังที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดง แต่จำเลยมิได้เรียกหรือรับเงินจากผู้ต้องหาเป็นการตอบแทนที่จำเลยปล่อยผู้ต้องหาดังกล่าวไป ทั้งผู้มีชื่อที่จำเลยนำเข้ามาแทนผู้ต้องหาทั้งสามที่จำเลยปล่อยตัวไปก็ไม่ปรากฏว่าเข้ามาแทนที่โดยไม่สมัครใจ ส่วนศาลจังหวัดสมุทรปราการ แม้จะได้อนุญาตให้ผัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้องของพนักงานสอบสวนก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อควบคุมการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนให้เป็นไปโดยถูกต้อง มิใช่ผู้ที่จะเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบจากการดำเนินคดีหรือไม่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด คดีจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ผู้มีชื่อ หรือโดยเจตนาทุจริต อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 204วรรคสอง เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4672/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสิทธิอุทธรณ์/ฎีกาในคดีประกันตัว: คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119
เมื่อผู้ประกันขอลดค่าปรับและศาลชั้นต้นมีคำสั่งลดให้แล้วผู้ประกันอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของผู้ประกัน คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 119 ผู้ประกันไม่อาจจะฎีกาต่อมาอีกได้ ศาลชั้นต้นรับฎีกาของผู้ประกันที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4305/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมรดก: การฟ้องคดีของทายาทคนหนึ่งไม่สะดุดอายุความของทายาทอื่น และการขาดอายุความเมื่อฟ้องเกิน 1 ปี
ในคดีที่นาย ส. ทายาทคนหนึ่งฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินมรดกพิพาท โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีด้วย คดีดังกล่าวคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงแบ่งที่ดินพิพาทให้นาย ส.นางก.นายก.และนางส. คนละหนึ่งในสิบ โดยนาย ส. ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดจากจำเลยอีก ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2528ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวไม่มีกรณีที่จะถือได้ว่านาย ส. ได้ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วยแต่ประการใด แม้ในคำฟ้องชั้นต้นจะเริ่มเรื่องเป็นการใช้สิทธิแทนทายาททั้งหมดในการเรียกทรัพย์มรดกคืนมา แต่เมื่อนาย ส. สละข้ออ้างในส่วนที่เป็นการเรียกร้องแทนทายาทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความเสียแล้ว กรณีที่จะถือว่าเป็นการ ใช้สิทธิแทนทายาทอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วยจึงเป็นอันหมดไปในผลของคดี ที่ฟ้องการฟ้องคดีของนาย ส. จึงเป็นการใช้สิทธิเฉพาะตัวมิใช่เป็นการฟ้องคดีเพื่อสิทธิของทายาทซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย คดีที่นาย ส.ฟ้องจึงไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์สะดุดหยุดอยู่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 175 นาย จ. เจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2525 นาง ล. ผู้จัดการมรดกของนาย จ.โอนที่ดินที่พิพาทให้จำเลยเพียงผู้เดียว โจทก์ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์มาฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดกคือที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2529 จึงเป็นการฟ้องคดีเกินกำหนด 1 ปี นับแต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเอามรดกส่วนของตนจากทรัพย์มรดกที่จำเลยรับโอนมาในฐานะทายาท คดีของโจทก์ จึงขาดอายุความมรดกตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1754 และกรณีตามคำฟ้องของโจทก์ก็มิใช่เป็นกรณีที่ฟ้องเอาส่วนแบ่งจากผู้จัดการมรดก.